แนะสำนักงานธนารักษ์ภูเก็ตกันพื้นที่จัดพิธีนอนหาดของชาวเลออกจากพื้นที่ให้เอกชนเช่าสร้างโรงแรม เพื่อคุ้มครองสิทธิทางวัฒนธรรมดั้งเดิม –

(กสม. แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ ครั้งที่ 41/2568)
กสม. ทบทวนรายงานผลการตรวจสอบกรณีเหตุการณ์เสียชีวิตของ “สารวัตรกานต์” พบหน่วยอรินทราชดำเนินการตามขั้นตอน และหลักการพื้นฐานว่าด้วยการใช้กำลังและอาวุธ – แนะสำนักงานธนารักษ์ภูเก็ตกันพื้นที่จัดพิธีนอนหาดของชาวเลออกจากพื้นที่ให้เอกชนเช่าสร้างโรงแรม เพื่อคุ้มครองสิทธิทางวัฒนธรรมดั้งเดิม – ห่วงการนำเสนอข่าวกรณีการเสียชีวิตของ “นัทปง” ผู้สื่อข่าวช่อง 8 กระทบสิทธิความเป็นส่วนตัว

2. กสม. แนะสำนักงานธนารักษ์พื้นที่ภูเก็ตกันพื้นที่บริเวณกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลจัดพิธีนอนหาดออกจากพื้นที่ที่ให้เอกชนเช่าสร้างโรงแรม เพื่อคุ้มครองสิทธิทางวัฒนธรรมดั้งเดิม

นายจุมพล ขุนอ่อน รองเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากเครือข่ายชาวเลอันดามัน (มอแกน มอแกลน อุรักลาโว้ย) เมื่อเดือนมิถุนายน 2566 ระบุว่า สำนักงานธนารักษ์พื้นที่ภูเก็ต (ผู้ถูกร้องที่ 1) และอุทยานแห่งชาติสิรินาถ (ผู้ถูกร้องที่ 2) ได้อนุญาตให้บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง (ผู้ถูกร้องที่ 3) สร้างโรงแรมขนาดใหญ่ ในพื้นที่ตำบลไม้ขาว อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นพื้นที่ที่กลุ่มชาติพันธุ์ชาวเล 30 ชุมชน ในจังหวัดภูเก็ตและพังงา ใช้เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์จัด “พิธีนอนหาด” ประจำปี ทั้งยังไม่มีการศึกษาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเล ทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงแหล่งวางไข่ของเต่าทะเล จึงขอให้ตรวจสอบ

จากการตรวจสอบปรากฏเท็จจริงว่า ที่ดินราชพัสดุที่สำนักงานธนารักษ์พื้นที่ภูเก็ตอนุญาตให้บริษัทเอกชนเช่าสำหรับสร้างโรงแรมขนาดใหญ่ มีพื้นที่เช่าบางส่วนด้านทิศตะวันตกติดกับเขตอุทยานแห่งชาติสิรินาถบริเวณหาดทรายแก้ว และเป็นพื้นที่ที่กลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลในจังหวัดภูเก็ตและจังหวัดพังงาใช้เป็นสถานที่จัดพิธีนอนหาดเพื่อบนบานศาลกล่าวต่อศาลศักดิ์สิทธิ์ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2230 ใช้เวลารวมประมาณ 3 – 5 วัน โดยพิธีนอนหาดประกอบด้วย พิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษ การเสี่ยงทายทำนายผลการทำมาหากิน มีการละเล่นพื้นบ้าน แข่งขันกีฬา การพบปะพูดคุย เพื่อเชื่อมความสามัคคีระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลที่อาศัยอยู่ในจังหวัดภูเก็ตและกลุ่มที่เดินทางมาจากจังหวัดพังงา ทั้งนี้ การใช้พื้นที่เพื่อจัดพิธีดังกล่าวเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปในหน่วยงานของรัฐระดับจังหวัดและส่วนกลาง

เมื่อสำนักงานธนารักษ์พื้นที่ภูเก็ตทราบว่าพื้นที่ซึ่งอนุญาตให้บริษัทเอกชนเช่าเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญเชิงจิตวิญญาณและวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลซึ่งจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องมามากกว่า 300 ปี แต่ก็มิได้กันพื้นที่ออก และยังคงอนุญาตให้บริษัทเอกชนเช่าและใช้ประโยชน์ในพื้นที่ จนทำให้กลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลไม่สามารถเข้าใช้พื้นที่ได้ ดังนั้น การกระทำของสำนักงานธนารักษ์พื้นที่ภูเก็ตจึงกระทบต่อวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลที่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และไม่สอดคล้องกับหน้าที่ของรัฐตามรัฐธรรมนูญ และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ICESCR) ในการคุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์ให้มีสิทธิดำรงชีวิตตามวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตดั้งเดิม นอกจากนี้ ยังไม่เป็นไปตามหลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (UNGPs) ที่กำหนดให้หน่วยงานของรัฐและภาคธุรกิจมีหน้าที่และความรับผิดชอบที่ต้องคุ้มครองมิให้การดำเนินธุรกิจละเมิดต่อสิทธิมนุษยชน และจะต้องดำเนินการให้ผู้ได้รับผลกระทบได้รับการเยียวยาความเสียหาย จึงเห็นว่า สำนักงานธนารักษ์พื้นที่ภูเก็ต (ผู้ถูกร้องที่ 1) มีการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ขณะที่บริษัทเอกชน (ผู้ถูกร้องที่ 3) ซึ่งเช่าที่ดินและสร้างโรงแรมโดยกันเขตไม่ให้กลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลเข้าไปจัดกิจกรรม ก็มีความสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะกระทบต่อวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเล และยังอาจเป็นการดำเนินธุรกิจที่ไม่สอดคล้องกับหลักการ UNGPs เช่นกัน

สำหรับกรณีของอุทยานแห่งชาติสิรินาถ (ผู้ถูกร้องที่ 2) เมื่อปรากฎว่า กลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลสามารถจัดพิธีนอนหาดในส่วนที่อยู่บริเวณหาดทรายแก้วซึ่งเป็นพื้นที่ของผู้ถูกร้องที่ 2 มาได้โดยตลอด ในชั้นนี้ จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่า ผู้ถูกร้องที่ 2 มีการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

ส่วนประเด็นการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดรับฟังความคิดเห็นเพื่อประกอบการสร้างโรงแรม เห็นว่าสำนักงานธนารักษ์พื้นที่ภูเก็ตได้จัดรับฟังความคิดเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาอนุญาตให้บริษัทเอกชนเช่าที่ดินราชพัสดุเพื่อสร้างโรงแรม และบริษัทได้ให้ผู้มีส่วนได้เสียแสดงความคิดเห็นตามกระบวนการจัดทำรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมเพื่อประกอบการขออนุญาตก่อสร้างอาคารโรงแรมตามขั้นตอนและแนวทางที่กำหนดแล้ว อย่างไรก็ตาม ยังมีกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลที่อาศัยอยู่ในอำเภออื่นของจังหวัดภูเก็ตและพังงา ซึ่งแม้จะอยู่นอกพื้นที่รัศมี 1 กิโลเมตรจากขอบเขตโครงการ แต่ได้เดินทางเข้ามาใช้ประโยชน์พื้นที่จัดพิธีนอนหาดมาอย่างยาวนานด้วยเช่นกัน การจัดรับฟังความคิดเห็นในกรณีตามคำร้องจึงไม่อาจจำกัดอยู่ในรัศมี 1 กิโลเมตร จากขอบเขตโครงการ และย่อมต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนทุกกลุ่มที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วนและรอบด้าน จึงรับฟังได้ว่า การจัดรับฟังความคิดเห็นของบริษัทเอกชน (ผู้ถูกร้องที่ 3) มีความสุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน

กสม. ยังมีข้อสังเกตว่า พื้นที่โรงแรมซึ่งอยู่ติดกับอุทยานแห่งชาติสิรินาถเป็นแหล่งวางไข่ของเต่าทะเลในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งการสร้างโรงแรมและกิจกรรมของโรงแรมอาจเป็นอุปสรรคหรือภัยคุกคามต่อการวางไข่ของเต่าทะเล โดยเมื่อพิจารณาความเป็นมาของการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติสิรินาถ พบว่า ที่ดินราชพัสดุส่วนที่บริษัทเอกชนจะสร้างโรงแรมเคยเป็นบริเวณที่จะประกาศให้เป็นอุทยานแห่งชาติสิรินาถเพิ่มเติมเมื่อปี 2533 แต่เนื่องจากในขณะนั้น มีประชาชนที่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินครอบครองอยู่ จึงได้กันออกไว้ก่อน หากพิสูจน์ได้ว่าเป็นที่ดินของทางราชการจะประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติเพิ่มเติม ซึ่งแม้ต่อมากรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จะเห็นว่าที่บริเวณดังกล่าว สำนักงานธนารักษ์พื้นที่ภูเก็ตได้ให้หน่วยงานราชการและประชาชนใช้ประโยชน์ จึงไม่เหมาะสมที่จะประกาศให้เป็นอุทยานแห่งชาติ แต่หากได้ความว่าพื้นที่บางส่วนดังกล่าวมีความสำคัญต่อการอนุรักษ์แหล่งวางไข่ของเต่าทะเล และสามารถเป็นพื้นที่สาธารณะที่ประชาชนสามารถเข้าใช้ประโยชน์หรือเป็นพื้นที่คุ้มครองทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลไปพร้อมกัน ก็ควรพิจารณาดำเนินการตามข้อตกลงเมื่อครั้งการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติสิรินาถเพิ่มเติมเมื่อปี 2533

ด้วยเหตุผลข้างต้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชนเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2568 จึงมีมติให้มีข้อเสนอแนะในการป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชนไปยังสำนักงานธนารักษ์พื้นที่ภูเก็ต (ผู้ถูกร้องที่ 1) ให้กันพื้นที่บริเวณที่กลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลใช้จัดพิธีนอนหาดออกจากพื้นที่ที่ให้บริษัทเอกชน (ผู้ถูกร้องที่ 3) เช่าสร้างโรงแรม และมีข้อเสนอแนะในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสรุปได้ดังนี้ ให้กระทรวงวัฒนธรรมและศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ประกาศให้พื้นที่จัดพิธีนอนหาดเป็นพื้นที่คุ้มครองทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเล ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2553 เรื่อง การฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเล ให้บริษัทเอกชน (ผู้ถูกร้องที่ 3) จัดรับฟังความคิดเห็นจากกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลซึ่งอาศัยอยู่ในอำเภออื่นของจังหวัดภูเก็ตและพังงา แต่ไปร่วมใช้พื้นที่จัดพิธีนอนหาด ตลอดจนองค์กรเอกชนด้านสิทธิมนุษยชนของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเล แล้วนำผลการจัดรับฟังความคิดเห็นเสนอไปยังคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมจังหวัดภูเก็ต โดยให้คณะกรรมการฯ นำผลการจัดรับฟังความคิดเห็นนั้นไปประกอบการพิจารณาทบทวนมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการโรงแรมให้ครอบคลุมประเด็นการจัดพิธีนอนหาด รวมทั้งให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กำกับการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการอย่างเคร่งครัด

นอกจากนี้ ให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพส่งเสริมและสนับสนุนให้สำนักงานธนารักษ์พื้นที่ภูเก็ต ดำเนินการตามหลักการ UNGPs ในภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการให้เอกชนเช่าพื้นที่ราชพัสดุ และบริษัทเอกชนผู้ถูกร้องดำเนินการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (Human Rights Due Diligence: HRDD) เพื่อกำหนดแนวทางที่เหมาะสมในการแก้ไขหรือลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการประกอบกิจการ

ทั้งนี้ ให้แจ้งข้อสังเกตของ กสม. เกี่ยวกับการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติสิรินาถเพิ่มเติมตามข้อตกลงเมื่อปี 2533 ไปยังสำนักงานธนารักษ์พื้นที่ภูเก็ต อุทยานแห่งชาติสิรินาถ และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เพื่อประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย

About The Author

Related posts