(กสม. แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ ครั้งที่ 41/2568)
กสม. ทบทวนรายงานผลการตรวจสอบกรณีเหตุการณ์เสียชีวิตของ “สารวัตรกานต์” พบหน่วยอรินทราชดำเนินการตามขั้นตอน และหลักการพื้นฐานว่าด้วยการใช้กำลังและอาวุธ – แนะสำนักงานธนารักษ์ภูเก็ตกันพื้นที่จัดพิธีนอนหาดของชาวเลออกจากพื้นที่ให้เอกชนเช่าสร้างโรงแรม เพื่อคุ้มครองสิทธิทางวัฒนธรรมดั้งเดิม – ห่วงการนำเสนอข่าวกรณีการเสียชีวิตของ “นัทปง” ผู้สื่อข่าวช่อง 8 กระทบสิทธิความเป็นส่วนตัว
วันศุกร์ที่ 12 ธันวาคม 2568 เวลา 14.00 น. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดยนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และนายจุมพล ขุนอ่อน รองเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ ครั้งที่ 41/2568 โดยมีวาระสำคัญดังนี้

1. กสม. ทบทวนรายงานผลการตรวจสอบกรณีการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยอรินทราช 26 ในเหตุการณ์เสียชีวิตของ “สารวัตรกานต์” พบเจ้าหน้าที่ดำเนินการตามขั้นตอนและหลักการพื้นฐานว่าด้วยการใช้กำลังและอาวุธ
นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2567 ได้พิจารณาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานกรณีร้องเรียนขอให้ตรวจสอบการปฏิบัติภารกิจของเจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษอรินทราช 26 (ผู้ถูกร้องที่ 1) ซึ่งเข้าระงับเหตุกราดยิงของพันตำรวจโท กิตติกานต์ แสงบุญ หรือ สารวัตรกานต์ สังกัดศูนย์พัฒนาด้านการข่าว กองบัญชาการตำรวจสันติบาล เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2566 โดยใช้อาวุธปืนยิงตกจากชั้น 2 ของบ้านพัก บริเวณซอยสายไหม 56 แขวงออเงิน เขตสายไหม กรุงเทพมหานคร จนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตในเวลาต่อมา และมีมติว่า ผู้ถูกร้องที่ 1 ใช้ยุทธวิธีระงับเหตุที่ไม่เหมาะสม ส่งผลกระทบต่อสิทธิในชีวิตและร่างกายของสารวัตรกานต์จนเกินสมควรแก่กรณี ทั้งยังไม่บันทึกภาพและเสียงในขณะปฏิบัติการ จึงเป็นการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน นั้น
ต่อมาเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2567 กองบังคับการตำรวจนครบาล 2 ได้มีหนังสือแจ้งข้อเท็จจริง เสนอพยานหลักฐานเพิ่มเติม และขอให้ กสม. พิจารณาทบทวนรายงานผลการตรวจสอบกรณีนี้ใหม่ กสม. จึงได้มอบหมายพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม โดยผลการตรวจสอบสรุปได้ว่า ในวันเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษอรินทราช 26 (ผู้ถูกร้องที่ 1) ใช้ยุทธวิธีโดยเริ่มจากการเจรจากับสารวัตรกานต์ให้มอบตัวเพื่อนำไปรักษา ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของทีมเจรจาต่อรองของกรมสุขภาพจิตที่ได้ลงพื้นที่ไปยังสถานที่เกิดเหตุที่เห็นว่าสารวัตรกานต์มีภาวะหลงผิดควรได้รับการรักษาด้วยยาลดอาการทางจิต แต่การเจรจาไม่เป็นผล ผู้ถูกร้องที่ 1 จึงตัดสินใจใช้แก๊สน้ำตายิงเข้าไปภายในบ้านเพื่อหวังให้ยอมมอบตัว แต่สารวัตรกานต์ใช้อาวุธปืนยิงออกมาจากบ้านเป็นระยะ กระทั่งมีการยิงตอบโต้กัน ส่งผลให้สารวัตรกานต์ได้รับบาดเจ็บ นอกจากนี้ ผู้ถูกร้องที่ 1 ใช้เวลาในการปฏิบัติการรวมแล้วประมาณ 27 ชั่วโมง หากใช้เวลาที่นานมากขึ้นก็จะมีผลทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบมากขึ้นตามไปด้วยจากการที่ไม่สามารถกลับเข้าไปพักอาศัยในบ้านของตนได้ ข้อเท็จจริงดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า แม้การที่ผู้ถูกร้องที่ 1 ใช้อาวุธปืนยิงสารวัตรกานต์ขณะเข้าไปควบคุมตัว เป็นการกระทบต่อสิทธิในชีวิตและร่างกายของสารวัตรกานต์ แต่เห็นว่าเป็นการกระทำที่มีเหตุตามที่กฎหมายบัญญัติให้กระทำได้ และสอดคล้องตามหลักการพื้นฐานว่าด้วยการใช้กำลังและอาวุธโดยเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย
¦
ทั้งนี้ เมื่อนำผลการดำเนินการที่ผู้ถูกร้องที่ 1 ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาพิจารณาประกอบ ปรากฏว่า อัยการสูงสุดได้พิจารณาสำนวนการสอบสวนของพนักงานสอบสวนแล้ว มีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ถูกร้องที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ต้องหาทั้งแปด ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 มาตรา 83 และมาตรา 288 เนื่องจากเห็นว่า การที่ผู้ต้องหาทั้งแปดใช้อาวุธปืนยิงตอบโต้ผู้ตาย (สารวัตรกานต์) ไปในทันที เพื่อป้องกันตนเองและเจ้าพนักงานอื่นในที่เกิดเหตุซึ่งกำลังปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายไม่ให้ได้รับอันตรายจากการกระทำของผู้ตาย เป็นการป้องกันด้วยวิถีทางน้อยที่สุดเท่าที่จำเป็นต้องกระทำในขณะนั้น ซึ่งได้สัดส่วนกับภยันตรายและพอสมควรแก่เหตุ เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่เป็นความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา
สำหรับกรณีการบันทึกภาพและเสียงขณะเข้าควบคุมตัวสารวัตรกานต์ ข้อเท็จจริงปรากฏเพิ่มเติมว่า มีการบันทึกภาพและเสียงอย่างต่อเนื่องขณะควบคุมตัว ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 โดยผู้ถูกร้องที่ 1 ได้นำโดรนและหุ่นยนต์ตรวจการณ์เข้าไปปฏิบัติงานภายในพื้นที่เกิดเหตุ แต่โดรนและหุ่นยนต์ตรวจการณ์ที่ใช้บันทึกภาพและเสียงถูกทำให้เสียหายจนไม่สามารถบันทึกภาพและเสียงอย่างต่อเนื่องได้ แสดงให้เห็นว่า ผู้ถูกร้องที่ 1 พยายามที่จะบันทึกภาพและเสียงอย่างต่อเนื่องขณะเข้าควบคุมตัวสารวัตรกานต์แล้ว แต่มีเหตุขัดข้องอันเป็นเหตุผลที่รับฟังได้
ด้วยเหตุข้างต้น ในชั้นนี้จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษอรินทราช 26 (ผู้ถูกร้องที่ 1) กระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน จากกรณีการใช้อาวุธปืนยิงสารวัตรกานต์ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตในเวลาต่อมา รวมทั้งการไม่บันทึกภาพและเสียงอย่างต่อเนื่องขณะเข้าจับและควบคุมตัว

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงประกอบความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิเกี่ยวกับวิธีบริหารวิกฤติการณ์ที่เกิดขึ้นตามคำร้องแล้ว เห็นว่า การที่สารวัตรกานต์มีอาการคลุ้มคลั่ง หวาดระแวง เครียด และไม่สามารถสื่อสารให้เข้าใจได้ ซึ่งเข้าข่ายป่วยทางจิตเวช ย่อมมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะและพฤติกรรมที่จะใช้ความรุนแรง แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ได้นำประชาชนส่วนใหญ่ที่อยู่บริเวณใกล้เคียงออกไปจากบริเวณพื้นที่เกิดเหตุ รวมถึงไม่มีบุคคลใดตกเป็นตัวประกัน หากเจ้าหน้าที่ใช้ระยะเวลาเจรจาต่อรองและปิดล้อมพื้นที่ให้นานขึ้น สารวัตรกานต์ก็อาจจะอ่อนเพลียและหมดแรงลงไป ซึ่งจะทำให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานสามารถเข้าไปควบคุมตัวได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธและลดความเสี่ยงที่จะเกิดความสูญเสีย
ด้วยเหตุผลดังกล่าว กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2568 จึงมีมติเห็นควรให้มีข้อเสนอแนะต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ให้จัดอบรมเสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับหลักการบริหารเหตุการณ์วิกฤติและการเจรจาต่อรองแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อใช้ในการปฏิบัติงาน โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจหรือหน่วยงานที่ต้องเผชิญเหตุก่อน ทั้งนี้ ให้เสริมเนื้อหาเกี่ยวกับหลักสิทธิมนุษยชนและหลักความได้สัดส่วน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติงานภายใต้กฎหมายและสอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนมากขึ้น
และให้จัดนักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์เพื่อให้คำปรึกษาและประเมินสุขภาพจิตประจำปีให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนาย โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ที่โดยปกติต้องใช้อาวุธปืนในการปฏิบัติงานเป็นประจำ เช่น ฝ่ายสืบสวน ฝ่ายปราบปราม หากพบว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีสภาพจิตใจไม่เหมาะสมต่อการปฏิบัติงาน ให้รีบบริหารจัดการด้วยการให้การรักษาและการเปลี่ยนหน้าที่ เพื่อป้องกันมิให้มีการก่อเหตุที่จะเป็นอันตรายต่อตนเองและผู้อื่น นอกจากนี้ ให้ศึกษาความเป็นไปได้ในการกำหนดหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการบริหารเหตุการณ์วิกฤติและการเจรจาต่อรองเป็นการเฉพาะ เพื่อรองรับการปฏิบัติงานในลักษณะเดียวกันกับเหตุการณ์ตามรายงานนี้ด้วย

ทั้งนี้ สำหรับการทำหน้าที่ของพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลสายไหม (ผู้ถูกร้องที่ 2) ในการสอบสวนคดีที่ได้รับคำร้องทุกข์กล่าวหาว่าผู้ถูกร้องที่ 1 กระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ซึ่งมีข้อร้องเรียนว่ามีการสอบสวนคดีโดยล่าช้านั้น จากการตรวจสอบของ กสม. พบว่าการสอบสวนคดีอยู่ภายในระยะเวลาที่ผู้มีอำนาจตามกฎหมายจะพิจารณา อันเป็นการให้ความคุ้มครองสิทธิในกระบวนการยุติธรรมของผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว และขณะนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ถูกร้องที่ 2 ในข้อหาสอบสวนคดีอาญาโดยมิชอบตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ดังนั้น เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการ จึงเห็นควรส่งรายงานฉบับนี้ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาตามหน้าที่และอำนาจต่อไป
