“ทนายปราบโกง” ร้องสอบกราวรูดอัยการ! แฉพฤติกรรมสวนทาง MOU คุ้มครองสิทธิฯ ปมแก้ต่างคดีการท่าเรือ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สืบเนื่องจาก MOU ระหว่าง สำนักผู้ตรวจการแผ่นดิน กับ อัยการสูงสุดที่มุ่งเน้นคุ้มครองสิทธิช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน นับตั้งแต่ลงนามร่วมกันเมื่อวันที่ 18 ส.ค.68 แล้วนั้น นายกฤษฎา อินทามระ หรือทนายปราบโกง ซึ่งทำหน้าที่คุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชนเช่นกัน ได้ออกมาแถลงต่อสื่อมวลชนว่า เมื่อต้นเดือน

ตุลาคม 2568 ตนได้ช่วยเหลือประชาชน 46 คนที่ถูกการท่าเรือร้องทุกข์กล่าวโทษในคดีพิเศษของดีเอสไอ ตั้งแต่กลางปี 60 ข้อหาทุจริตเบิกค่าล่วงเวลาทำให้รัฐเสียหายกว่า 3 พันล้านบาทแต่อัยการส่งฟ้องศาลได้เพียง 34 คนจาก 560 คน เมื่อเดือนมี.ค.68 ศาลยกฟ้องจำเลยทั้ง 34 คน ทำให้ผู้เสียหาย 46 คน ซึ่งไม่ได้อยู่ในกลุ่ม 34 คน จึงได้ยื่นฟ้องการท่าเรือต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้เรียกค่าเสียหายฐานละเมิดเป็นเงินคนละ 4 ล้านบาท แต่ก่อนการท่าเรือจะยื่นคำให้การต่อสู้คดีนั้น ในวันที่ 17 ต.ค.68 ตนได้พาโจทก์ผู้เสียหายทั้ง 46 คนไปใช้สิทธิตาม MOU ดังกล่าวโดยทำหนังสือร้องเรียนต่อ อัยการสูงสุด เพื่อทบทวนการเข้าแก้ต่างให้การท่าเรือโดยมอบหลักฐานให้เห็นว่าการท่าเรือทำผิดจริง แต่ผลที่ได้รับคือ สำนักงานอัยการสูงสุดมอบหมายให้อัยการ 11 คนมาทำหน้าที่เป็นทนายแก้ต่างให้การท่าเรือโดย

ยื่นคำให้การต่อศาลเมื่อวันที่ 28 พ.ย.68 ในประเด็นสำคัญว่าการท่าเรือแจ้งความดำเนินคดีเพียง 32 คนพร้อมแนบรายชื่อทั้ง 32 คนไม่ปรากฎชื่อโจทก์แต่อย่างใด ซึ่งไม่เป็นความจริง ดังนั้น ในวันที่ 16 ธ.ค.68 ผู้เสียหายที่เป็นโจทก์ในคดีละเมิดรวม 9 คนจึงได้ไปยื่นหนังสือร้องเรียนต่อประธาน กอ.ให้ตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงอัยการรวม 9 คนโดยเมื่อวันที่ 22 ธ.ค.68 คณะกรรมการอัยการ 1 ได้มีหนังสือมาถึงตนแจ้งว่ากำลังพิจารณาเรื่องร้องเรียน ในวันนี้ตนจึงต้องทำหน้าที่คุ้มครองสิทธิแก่ประชาชนให้เกิดเป็นรูป

ธรรมสอดคล้องกับ MOU ระหว่างผู้ตรวจการแผ่นดินกับสำนักงานอัยการสูงสุด ลงนามเมื่อวันที่ 18 ส.ค.68 ซึ่งได้ประกาศเจตนารมณ์ในการคุ้มครองสิทธิประชาชนทางกฎหมาย ตนจึงขอตั้งคำถามจากกรณีที่ตนนำโจทก์ 46 คน ไปยื่นหนังสือขอให้ อสส.ทบทวนการเข้ามาแก้ต่างให้การท่าเรือในคดีละเมิด 46 สำนวน ทั้งที่เป็นคดีที่ประชาชนฟ้องหน่วยงานรัฐจากการถูกละเมิดสิทธิและมีข้อพิรุธในสำนวน แต่กลับมีอัยการถึง 11 คนเดินหน้าแก้ต่าง พร้อมกับยื่นคำให้การบิดเบือนข้อเท็จจริงและส่งรายชื่อผู้ถูกกล่าวหาอันเป็นเท็จ จนนำไปสู่การร้องเรียนต่อประธาน กอ.คำถามสำคัญของสังคมคือ การตัดสินใจดังกล่าวขัดหรือสวนทางกับเจตนารมณ์ของ MOU หรือไม่ และความรับผิดชอบควรหยุดอยู่ที่อัยการทั้ง 9 รายผู้ปฏิบัติหน้าที่ หรือควรไต่สวนให้ขึ้นไปถึงระดับผู้บังคับบัญชาและระดับนโยบายของสำนักงานอัยการสูงสุด เพราะกรณีนี้ไม่ใช่เพียงคดีแพ่งธรรมดา แต่เป็นบทพิสูจน์ว่าระบบอัยการจะยืนอยู่ข้างการคุ้มครองสิทธิให้แก่ประชาชอแท้จริงหรือไม่เพียงไร

 

 

About The Author

Related posts