“ทนายอั๋น“ พา ”อดีตนักกีฬาทีมชาติผู้พิการ“ – “กลุ่มผู้ค้าสลากรากหญ้าทั่วไทย” เจ้าของโควต้าหวยรัฐบาล ร้องจี้ “DSI” ดำเนินคดีก๊วนนักการเมือง-คณะบุคคล ปมฮั้วโควต้าหวย หลังพบพฤติการณ์กินรวบ หวยไม่ถึงมือคนพิการ คนรากหญ้าจริง ด้าน “โฆษกดีเอสไอ” แจง “พนักงานสืบสวนกองกิจการอำนวยความยุติธรรม” พบข้อเท็จจริง “สมาคมกีฬาคนตาบอดแห่งประเทศไทย” ไม่ได้ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับสมาคมฯ จึงส่งรายงานผลการสืบสวนเบื้องต้นไปยัง “การกีฬาแห่งประเทศไทย” ในฐานะเจ้าของกฎหมายเพื่อดำเนินการต่อ และไม่ได้รับไว้เป็นคดีพิเศษ เหตุ ไม่เข้าลักษณะคดีตามบัญชีแนบท้ายกฎหมายดีเอสไอ พร้อมส่งรายงานไปยัง “สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล” เพื่อให้จัดสรรโควต้าหวยให้ได้รับความเป็นธรรม ส่วนกรณีพิจารณาเป็นคดีพิเศษฐานความผิดอาญาอื่นได้นั้น ต้องมีทรัพย์ที่มาจากการกระทำความผิดตั้งแต่ 300 ล้านบาทขึ้นไป อาจชงเป็นคดีฟอกเงินทางอาญา ชี้ “ฐานฉ้อโกงประชาชน” ตามประมวลกฎหมายอาญา ยังคงเป็นคดีในอำนาจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เมื่อเวลาเวลา 11.00 น. วันที่ 4 พ.ย. ที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือทนายอั๋น บุรีรัมย์ พร้อมด้วย นายสำอางค์ ซ่อนกลิ่น ประธานชมรมกลุ่มผู้ค้าสลากรากหญ้าทั่วไทย และสมาชิกชมรมฯ นายศุภชัย สงพินิจ อายุ 41 ปี อดีตนักกีฬากรีฑาทีมชาติไทย นายสมชาย ปัญญ์เอกวงศ์ ประธานที่ปรึกษาสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย เดินทางเข้ายื่นหนังสือทวงถามความคืบหน้าคดีการถูกแอบอ้างสิทธิ์โควตาสลากกินแบ่งรัฐบาลกับอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เพื่อให้ตรวจสอบเรื่องฮั้วจัดสรรโควต้าสลากกินแบ่งรัฐบาลที่กระจุกตัวอยู่แค่คนกลุ่มหนึ่ง ไม่ถึงมือผู้พิการอย่างแท้จริง โดยมี พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองคดีคุ้มครองผู้บริโภค และในฐานะโฆษกดีเอสไอ เป็นผู้แทนรับเรื่อง
โดย นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือทนายอั๋น บุรีรัมย์ กล่าวว่า วันนี้ตนได้พาพี่น้องผู้ด้อยโอกาสทางสังคม ผู้พิการทางสายตา สมาคมกีฬาคนพิการแห่งประเทศไทย องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ความจริงแล้วกลุ่มพี่น้องผู้ด้อยโอกาสทางสังคมมีจำนวนเยอะมาก และก็คนที่อาจจะถูกริดรอนสิทธิ์อีกเยอะมากเช่นเดียวกัน ซึ่งเรื่องนี้ตนเห็นปัญหาอยู่สองอย่าง คือ การถูกแอบอ้างชื่อ โดยการเอาชื่อผู้พิการไปใส่ในบัญชีรายชื่อโควต้าสลากกินแบ่งรัฐบาล แต่ไม่มีการแจ้งให้เจ้าตัวรับทราบ รวมไปถึงการแอบเอาชื่อนักกีฬาคนพิการที่ได้โควต้า หรือผู้พิการ ผู้ค้าสลากกินแบ่งรัฐบาล ลักษณะคล้ายกันคือการนำชื่อของทุกคนที่ว่ามา และก็ไปเอารายชื่อของนายทุน ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นลูกน้องหรือขี้ข้านักการเมือง นอมินีของนักการเมือง ซึ่งผลประโยชน์ก็ไปตกกับคนกลุ่มเหล่านี้ เพื่อนำส่งเงินให้กับนักการเมือง และ 2.มีการลดโควต้าสลากกินแบ่งรัฐบาลของกลุ่มผู้ค้าสลากรากหญ้า จากเดิมจะได้รับคนละ 5 เล่ม แต่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลได้เปลี่ยนแปลงบังคับลดสลาก เหลือคนละ 3 เล่มเมื่อปลายปี 2566 โดยไม่มีการแจ้งเหตุผลให้ชัดเจนว่าเหตุใดจึงลดจำนวนเล่มลง
ขณะที่ นายสำอางค์ ซ่อนกลิ่น ประธานชมรมกลุ่มผู้ค้าสลากรากหญ้าทั่วไทย เผยว่า ตนมาวันนี้เพื่อยืนยันว่าการจัดสรรสลากกินแบ่งรัฐบาลสำหรับผู้ด้อยโอกาสผู้พิการ มันมีนัยยะ และมีความเทาดำมืดมาตลอดภายในสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ตนคือตัวแทนของผู้ค้าสลากเสรี อย่างที่ทุกท่านทราบว่าในปี 2558 เราจะได้สลากประมาณ 5-10 เล่ม แต่สุดท้ายก็มาลดเหลือ 3 เล่ม ในปี 2566 ซึ่งใน 2 เล่มที่หายไป การชี้แจงก็ไม่ได้มีความชัดเจน และล่าสุดยังมีการเอาสลากกินแบ่งรัฐบาลโควต้าจังหวัดจากคนพิการหรือผู้ด้อยโอกาสกำลังนำกลับไปไว้ที่กองสลากฯ จึงอยากสอบถามสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลว่าดำเนินการจัดสรรอย่างไร เหตุใดจึงยังต้องให้ผู้พิการต้องมาเรียกร้องกันทุกปี ขณะที่ตนซึ่งเป็นผู้ค้าสลากรายย่อย ค้าเสรี สะพายขายสลากเดินถนน ไม่ได้เป็นผู้พิการ แต่กลับถูกริดรอนสิทธิ์ไปเช่นเดียวกัน และสลากก็ไม่ได้ถึงมือผู้พิการเลย นอกจากนี้ ตนอยากฝากไปยังดีเอสไอที่บอกว่า คดีที่ผู้พิการมาเรียกร้องนั้นยังไม่เข้าข่ายเป็นคดีพิเศษนั้น หากดีเอสไอตรวจสอบลงลึกไปอีกหน่อย ว่า การได้สลากจากผู้ค้ารายย่อยทั่วประเทศ การได้สลากจากส่วนกลางจังหวัด มีการนำเอาไปให้ใคร และสลากเหล่านั้นไปอยู่ที่ไหน เหตุใดบางส่วนจึงไปอยู่ที่อินฟลูเอ็นเซอร์ชื่อดัง หรือไปอยู่ในมือของนักการเมืองดัง และตนอยากพูดว่านักการเมืองดังแถวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีการรับสลากจากการจัดสรรของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล โดยผ่านมูลนิธิสมาคมต่าง ๆ มีการนำเอาไปใช้หาเสียงด้วย ด้วยการเกณฑ์คนของจังหวัดตัวเองมาเป็นสมาชิก และมาขอสลากกับสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ส่วนเรื่องนี้จะถูกต้องหรือไม่ ก็ฝากดีเอสไอไปตรวจสอบดูว่า ให้เขาไปแล้วเขาไปทำมาหากินจริงหรือไม่ หรือแค่เป็นการหาเสียงเข้าพรรคตัวเอง
นายสำอางค์ เผยอีกว่า พ.ร.บ.สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ. 2517 มีการระบุไว้เลยว่า ต้องดูแลผู้พิการ หรือผู้ด้อยโอกาสก่อน ดังนั้น สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล หรือนักการเมืองที่ดูแลในส่วนของการบริหารจัดการโควต้าสลาก กำลังดำเนินการอันเป็นการขัดกับกฎหมายหรือไม่
ส่วน นายศุภชัย สงพินิจ อายุ 41 ปี อดีตนักกีฬากรีฑาทีมชาติไทย ระบุว่า ตนเคยเป็นนักกีฬากรีฑาของทีมชาติไทย และตนก็ได้ทราบข้อมูลว่าสมาคมกีฬาคนตาบอดแห่งประเทศไทย จะมีโควต้าสลากกินแบ่งรัฐบาลให้กับนักกีฬาผู้พิการ ตนจึงไปสอบถามเพื่ออยากจะขอนำมาขาย แต่ทางสมาคมก็ได้บอกกับตนว่าต้องมาลงทะเบียนเป็นสมาชิกก่อน ต้องส่งเอกสารการสมัคร ซึ่งตนก็สงสัยว่าในฐานะนักกีฬา เราก็เป็นสมาชิกของสมาคมอยู่แล้ว เพราะสมาคมก็ต้องมีหน้าที่ดูแลเราไม่ใช่หรือ แต่จู่ ๆ มาบอกว่าตนไม่ใช่สมาชิก ซึ่งเรื่องนี้ ตนมองว่ามันไม่เป็นธรรม ก็เลยไม่ได้รับโควต้าหวยนักกีฬาผู้พิการจากสมาคมฯ แค่การตั้งคำถาม ทางสมาคมฯ ก็มองว่าตนเป็นปฏิปักษ์ และได้มีการออกข้อกำหนดในการคัดตัวนักกีฬา ว่านักกีฬาต้องไม่มีท่าทีเป็นปฏิปักษ์กับสมาคม จึงจะได้รับการพิจารณาคัดตัวไปแข่ง ตนจึงรู้ในตอนนั้นเลยว่าหากสมัครไป อนาคตของตนอาจจะไม่โอเค จึงมองว่าหากใครจะไปสอบถามเรื่องโควต้าหวยนักกีฬาผู้พิการกับทางสมาคมฯ ก็จะต้องไม่เป็นผู้ที่แตกแถวหรือไปตั้งแง่
ด้าน พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองคดีคุ้มครองผู้บริโภค และในฐานะโฆษกดีเอสไอ กล่าวว่า ดังกล่าวเบื้องต้นกรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับเรื่องไว้สืบสวนแล้ว และก่อนหน้านี้กองกิจการยุติธรรม ก็ได้มีการรายงานผลการสืบสวนไปยังการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เนื่องจากพบข้อเท็จจริงว่าอาจจะมีการไม่ดำเนินการเป็นไปตามระเบียบหรือกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเรื่องนี้ได้มีการหารือเพิ่มเติมกับทางผู้ร้องให้ทราบว่า ดีเอสไอจะได้มีการประสานไปยังหน่วยงานเริ่มต้นอย่างสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อที่จะได้ทราบข้อเท็จจริง โดยเฉพาะเรื่องโควตาจัดสรรที่ไม่ได้ถูกนำไปใช้ตามหลักเกณฑ์ที่ควรจะเป็น เพื่อให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลได้เข้ามาแก้ไขปัญหา เพื่อผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจะได้มีสิทธิ์รับโควตาถูกต้องตามความเป็นจริง อย่างไรก็ดี จากรายงานการสืบสวนของดีเอสไอเบื้องต้น ก็พบเหตุอันควรสงสัยว่าน่าจะมีการจัดสรรไม่เป็นไปตามระเบียบที่กำหนด ส่วนความเป็นไปได้ที่จะมีการนำเสนอเรื่องนี้ให้กับทางอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือบอร์ดคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) พิจารณารับดำเนินการเป็นคดีพิเศษนั้น เรื่องนี้จะต้องแยกเป็นสามส่วน คือ 1.ดีเอสไอแจ้งผลการสืบสวนไปยังการกีฬาแห่งประเทศไทย ในฐานะเจ้าของกฎหมาย ซึ่งจะต้องติดตามผล 2.ดีเอสไอจะมีการส่งเรื่องไปยังสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาเรื่องการจัดสรรโควต้าให้ตอบโจทย์ตามวัตถุประสงค์ของสำนักงานสลากกินแบ่ง และ 3.หากพบมูลการกระทำความผิดทางอาญาที่อยู่ในอำนาจก็จะได้มีการพิจารณาดำเนินการต่อไป ตนเชื่อว่าเรื่องนี้จะต้องมีนักการเมืองอยู่เบื้องหลัง และตนอยากถามว่าการทำแบบนี้คือคุณกำลังหากินกับความด้อยโอกาสของคนในสังคมหรือไม่
พ.ต.ต.วรณัน เผยอีกว่า กรณีว่าเหตุใดการสืบสวนที่ผ่านมาของดีเอสไอที่พบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับบัญชีธนาคารในเรื่องนี้ จึงไม่เข้าข่ายรับเป็นคดีพิเศษ ตนทราบว่าในขั้นต้น ทางพนักงานสืบสวนรายงานชี้ว่าไม่ใช่คดีที่มีลักษณะตามบัญชีแนบท้าย พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 เพียงแต่ว่าเรื่องนี้พอได้ฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติม ก็เห็นว่ามีประเด็นที่เราควรจะต้องค้นหาความจริงเพิ่ม เพราะอาจเป็นเรื่องที่มีภูเขาน้ำแข็งข้างใต้ที่ลึกกว่านั้นก็ได้ ส่วนที่ว่าเรื่องนี้ได้ปรากฏผู้เสียหายเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ไม่สามารถเป็นคดีพิเศษหรือเป็นคดีอาญาได้นั้น ตนได้รับประเด็นเพิ่มเติมเมื่อสักครู่นี้ มันมีประเด็นที่ทางผู้พิการแจ้งว่า ถูกใช้ชื่อในการไปยื่นขอโควต้า แต่พอมีการจัดสรรกลับมา ผู้ที่ถูกใช้ชื่อก็ไม่ได้รับจริง ส่วนนี้จะต้องไปพิจารณาในเรื่องของความผิดฐานฉ้อโกง หลังจากนี้อาจจะได้มีการประสานส่งข้อมูลเพิ่มเติมไปยังกองกิจการอำนวยความยุติธรรม เพื่อดำเนินการต่อ
เมื่อถามว่ากรณีที่ผู้พิการและผู้ที่ได้รับโควต้าหวยตามที่ควรจะได้รับ ได้มาร้องไว้ตั้งแต่ปี 2567 ทางดีเอสไอได้มีการเชิญผู้ถูกกล่าวหา มาให้ข้อมูลชี้แจงอย่างไรบ้างหรือไม่ โฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวว่า ทราบว่าทางพนักงานสืบสวนที่ทำเรื่องนี้ได้มีการเชิญบุคคลที่เกี่ยวข้องเข้าให้ข้อมูลเบื้องต้นไว้บ้างแล้ว แต่ไม่สามารถลงรายละเอียดได้ว่าเชิญใครมาสอบถามบ้าง
โฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ ยังชี้แจงว่า การจะรับเป็นคดีพิเศษได้นั้น ข้อหาหลักตามกฏหมายของเรา คือ พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 หรือแชร์ลูกโซ่ แต่ถ้าความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา ยังเป็นอำนาจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ถ้ามีการสืบสวนลงไปแล้วเห็นว่า แม้เป็นคดีอาญาอื่น แต่มีเหตุที่ควรจะเสนอรับเป็นคดีพิเศษ ก็สามารถที่จะเสนอต่อคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ได้เช่นกัน
เมื่อถามว่าหากเรื่องจัดสรรโควต้าหวยไม่เป็นธรรม ได้ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีเงินเข้ามาเกี่ยวข้องถึง 300 ล้านบาท เช่นนี้จะสามารถรับเป็นคดีพิเศษได้หรือไม่ โฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ ชี้แจงว่า ได้ หากเรื่องดังกล่าวเป็นคดีอาญาอื่น และทางตำรวจได้รับไว้ทำคดีแล้ว ยกตัวอย่างคดีฉ้อโกงประชาชน หรือฉ้อโกงเป็นปกติธุระ และมีทรัพย์ที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด ตั้งแต่ 300 ล้านบาทขึ้นไป คดีฟอกเงินทางอาญาก็จะเป็นอำนาจของดีเอสไอที่จะรับไปดำเนินการเป็นคดีพิเศษได้ แต่จะต้องปรากฏคดีมูลฐานก่อน จึงจะดำเนินการคดีฟอกเงินทางอาญาได้.

										
			


