กสม. แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ ครั้งที่ 36/2568)

กสม. ตรวจสอบกรณีฝ่ายความมั่นคงจัดทำบัญชีกลุ่มเป้าหมายบุคคลและองค์กรเฝ้าระวัง และใช้ IO โจมตี ชี้มีการละเมิดสิทธิฯ แนะกลาโหมตรวจสอบและแก้ไข – ตรวจสอบกรณีครูทำโทษเด็กนักเรียนชั้นประถมฯ เกินสมควรแก่เหตุ กระทบพัฒนาการระยะยาว แนะ สพป.ชัยภูมิ เร่งดำเนินการสอบสวนทางวินัย

วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม 2568 เวลา 10.30 น. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดยนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และนางสาวหรรษา หอมหวล เลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ ครั้งที่ 36/2568 โดยมีวาระสำคัญดังนี้

1. กสม. ตรวจสอบกรณีหน่วยงานความมั่นคงจัดทำบัญชีกลุ่มเป้าหมายบุคคลและองค์กรเฝ้าระวัง และใช้ IO โจมตี ชี้มีการละเมิดสิทธิฯ แนะกลาโหมตรวจสอบและแก้ไข

นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ร้องรายหนึ่งเมื่อเดือนเมษายน 2568 ระบุว่า ผู้ร้องได้รับทราบข้อมูล กรณีเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2568 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาชนได้อภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี โดยกล่าวอ้างว่า หน่วยงานของรัฐฝ่ายความมั่นคง (ผู้ถูกร้อง) ประกอบด้วย กระทรวงกลาโหม กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ได้จัดตั้งคณะทำงานความมั่นคงพิเศษ ภายใต้ศูนย์ปฏิบัติการร่วมทหารและตำรวจ เพื่อร่วมกันจัดทำบัญชีกลุ่มเป้าหมายบุคคลและองค์กรเฝ้าระวังที่มีความสำคัญ และกระทบต่อสถาบันระดับสูง เช่น นักการเมือง นักวิชาการ นักกิจกรรมทางการเมือง เยาวชน และองค์กรเฝ้าระวัง นอกจากนี้ ยังใช้ข้อมูลโจมตีกลุ่มบุคคลและองค์กรดังกล่าว จึงขอให้ตรวจสอบ

กสม. ได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ได้รับรองสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว เกียรติยศ ชื่อเสียง และครอบครัว และเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งการกระทำอันเป็นการละเมิดหรือกระทบต่อสิทธิหรือเสรีภาพดังกล่าวไม่ว่าในทางใด ๆ จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเพียงเท่าที่จำเป็นเพื่อประโยชน์สาธารณะ เพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ เพื่อคุ้มครองสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อป้องกันสุขภาพของประชาชนเท่านั้น อันสอดคล้องตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ที่ไทยเป็นภาคีากการตรวจสอบข้อเท็จจริงปรากฏว่า หน่วยงานของรัฐฝ่ายความมั่นคง (ผู้ถูกร้อง) ได้ปฏิเสธการจัดทำบัญชีกลุ่มเป้าหมายบุคคลหรือองค์กรเฝ้าระวังเพื่อปฏิบัติการข่าวสาร(Information Operations: IO) กับประชาชน นักการเมือง นักกิจกรรมทางการเมือง หรือองค์กรใด โดยในส่วนของกองทัพมุ่งสื่อสารประชาสัมพันธ์ข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง และสร้างภูมิคุ้มกันข่าวปลอม อย่างไรก็ดี จากการสืบค้นและรวบรวมข้อมูลจากพยานเอกสาร พยานบุคคล ข้อมูลและความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนผู้ทรงคุณวุฒิ มีมูลอันเชื่อได้ว่า หน่วยงานผู้ถูกร้องมีการปฏิบัติการข่าวสารอันเป็นการสนธิปฏิบัติการต่าง ๆ ที่มุ่งสร้างผลกระทบหรือมีอิทธิพลต่อข้อมูลข่าวสาร สารสนเทศ กระบวนการคิด หรือกระบวนการตกลงใจของฝ่ายตรงข้ามหรือกลุ่มเป้าหมายอื่น ๆ ซึ่งข้อเท็จจริงตามเอกสารของคณะทำงานความมั่นคงพิเศษ ทบ. ลับที่สุด ปรากฏข้อมูลเกี่ยวกับโครงสร้างของคณะทำงาน การกำหนดยุทธศาสตร์ แผนปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร ปีงบประมาณ 2568 กำหนดแผนงานแต่ละเดือน มีนโยบายและข้อสั่งการในการร่วมกันกำหนดบัญชีกลุ่มเป้าหมาย ประกอบด้วยข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ชื่อ วันเดือนปีเกิด เลขประจำตัวประชาชน ที่อยู่อาศัย ข้อมูลการศึกษา หมายเลขทะเบียนรถ พฤติกรรม และทัศนคติทางการเมือง รวมถึงข้อมูลการจัดกิจกรรมขององค์กรเฝ้าระวังและพรรคการเมือง และมีการสุ่มรหัสผ่าน เจาะบัญชีโดยเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติซึ่งเป็นกำลังพลในสังกัดที่ใช้บัญชีในสื่อสังคมออนไลน์และไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว เพื่อตอบโต้ข้อเท็จจริง สร้างภาพจำ และติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มเป้าหมาย 

นอกจากนี้ เอกสารของ กอ.รมน. ลับมาก ระบุประมาณการภัยคุกคามด้านความมั่นคงภายในราชอาณาจักร รอบ 1 ปี ห้วง 1 ตุลาคม 2567 ถึง 30 กันยายน 2568 กำหนดรายชื่อบุคคลที่แสวงหาผลประโยชน์โดยแอบอ้างสถาบัน เช่น นายกรัฐมนตรี อดีตนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการพรรคการเมือง กลุ่มบุคคลที่มีแนวคิดปฏิรูปกฎหมาย ทัศนคติและเจตนาที่เป็นปฏิปักษ์ และกลุ่มเห็นต่างทางการเมือง โดยในเอกสารปรากฏชื่อผู้อำนวยการสำนักการข่าว กอ.รมน. เอกสารของคณะทำงานความมั่นคงพิเศษ ทบ. ลับที่สุด จึงเป็นการกำหนดแผนการดำเนินงานต่อกลุ่มเป้าหมายไว้อย่างชัดเจน เป็นการยากที่หน่วยงานอื่นจะเข้าถึงข้อมูลและกระทำในลักษณะนี้ได้ แสดงให้เห็นถึงรูปแบบและวิธีปฏิบัติการของหน่วยงานฝ่ายความมั่นคงโดยเฉพาะ จึงเชื่อได้ว่าเอกสารดังกล่าวจัดทำขึ้นภายในหน่วยงานของผู้ถูกร้อง

อย่างไรก็ดี การจัดทำบัญชีเป้าหมายกลุ่มบุคคลหรือองค์กรเฝ้าระวัง หน่วยงานของรัฐจะกระทำได้ต้องมีกฎหมายบัญญัติไว้ มีเงื่อนไข และขอบเขตที่ชัดเจน มาตรการที่ใช้จะต้องชอบด้วยกฎหมายและได้สัดส่วน ดังเช่นพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย และการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง พ.ศ. 2559 แต่ในกรณีนี้ผู้ถูกร้องได้นำข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลการจัดกิจกรรมขององค์กรเฝ้าระวัง ซึ่งมีความเห็นต่างทางการเมืองมาจัดทำบัญชี จึงมีลักษณะเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งถือเป็นการจัดทำบัญชีกลุ่มเป้าหมาย โดยไม่ปรากฏบทบัญญัติของกฎหมายให้อำนาจผู้ถูกร้องดำเนินการ

นอกจากนี้ การที่ผู้ถูกร้องนำนโยบาย ยุทธศาสตร์ และแผนปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร โดยให้เจ้าหน้าที่ในสังกัดนำข้อมูลที่เก็บรวบรวมไว้ไปใช้วิเคราะห์ ติดตามความเคลื่อนไหวทางกายภาพและสื่อสังคมออนไลน์อย่างเป็นขั้นตอนและมีระบบ รวมทั้งตรวจสอบข้อมูลของกลุ่มเป้าหมายเพื่อใช้ในการปฏิบัติด้านไซเบอร์ เพื่อตอบโต้และเผยแพร่ข้อเท็จจริง และสร้างกระแสบนสื่อสังคมออนไลน์ ด้วยการใช้ถ้อยคำด้อยค่าและสร้างภาพจำเชิงลบต่อบุคคลหรือองค์กรเป้าหมาย ซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะให้กระทำได้ รวมทั้งไม่ปรากฏหลักเกณฑ์และมาตรฐานในการกำกับการปฏิบัติงานที่รัดกุมเพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการกำหนดลักษณะของบุคคลหรือองค์กรที่ต้องเฝ้าระวัง หรือวิธีปฏิบัติในการติดตามความเคลื่อนไหวของบุคคล ดังนั้น การกระทำดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าผู้ถูกร้องแทรกแซงสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเกินสมควรแก่เหตุ ทั้งที่หน่วยงานของรัฐมีหน้าที่ให้หลักประกันสิทธิและเสรีภาพ รักษาความสงบเรียบร้อยและความสมดุลระหว่างความมั่นคงของรัฐกับการใช้สิทธิและเสรีภาพของประชาชน ในชั้นนี้ จึงรับฟังได้ว่า การที่ผู้ถูกร้องจัดทำบัญชีกลุ่มเป้าหมายบุคคลหรือองค์กรเฝ้าระวังเป็นการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคล และใช้ข้อมูลเพื่อโจมตีบุคคลและองค์กรดังกล่าวเป็นการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

ด้วยเหตุผลดังกล่าว กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2568 จึงมีมติให้มีข้อเสนอแนะต่อกระทรวงกลาโหม โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในฐานะประธานสภากลาโหม ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและประมวลผล กรณีหน่วยงานของรัฐฝ่ายความมั่นคง (ผู้ถูกร้อง) จัดทำบัญชีกลุ่มเป้าหมายบุคคลหรือองค์กรเฝ้าระวัง และใช้ข้อมูลเพื่อโจมตีบุคคลและองค์กร เพื่อนำเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณา โดยใช้ข้อมูลของรายงานผลการตรวจสอบฉบับนี้ประกอบการพิจารณา และให้สั่งการเน้นย้ำและกำชับหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ในสังกัดว่าในการกำหนดมาตรการหรือวิธีการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมหรือการรักษาความปลอดภัย จะต้องคำนึงถึงการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนควบคู่ไปด้วย อีกทั้งการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ที่เป็นการจำกัดหรือแทรกแซงสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลจะต้องมีฐานของกฎหมายให้อำนาจไว้เป็นการเฉพาะและเป็นไปตามหลักความได้สัดส่วน

นอกจากนี้ ให้ยกเลิกการจัดทำบัญชีบุคคลและองค์กรเฝ้าระวัง หรือปฏิบัติการในลักษณะเฝ้าระวังและติดตามความเคลื่อนไหวของบุคคล เพียงเพราะบุคคลดังกล่าวนั้นแสดงความคิดเห็นหรือแสดงออกทางการเมืองด้วย

2. กสม. ตรวจสอบกรณีครูทำโทษเด็กนักเรียนชั้นประถมฯ เกินสมควรแก่เหตุ กระทบพัฒนาการระยะยาว แนะ สพป.ชัยภูมิ เร่งดำเนินการสอบสวนทางวินัย

นางสาวหรรษา หอมหวล เลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า เมื่อเดือนพฤษภาคม 2568 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ร้องรายหนึ่งว่า บุตรของผู้ร้องซึ่งเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ของโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดชัยภูมิ ถูกครูประจำชั้นทำโทษด้วยการตีท้ายทอย ตบหลัง และใช้ไม้เรียวตีหลายครั้ง อีกทั้งยังห้ามไม่ให้เข้าห้องน้ำนอกเวลาที่กำหนด ส่งผลให้บุตรของผู้ร้องต้องอั้นปัสสาวะอยู่บ่อยครั้งจนส่งผลกระทบต่อสุขภาพ นอกจากนี้ ครูประจำชั้นที่เป็นผู้ถูกร้องยังมักใช้ถ้อยคำ น้ำเสียง และสายตาที่ไม่เป็นมิตรกับนักเรียน และยังเคยส่งรูปภาพนักเรียน 15 ราย มาในกลุ่มไลน์ผู้ปกครองพร้อมระบุข้อความให้ผู้ปกครองมารับนักเรียนกลุ่มนี้กลับบ้านเนื่องจากนักเรียนไม่อยากเรียนและไม่ส่งงาน เป็นเหตุให้บุตรของผู้ร้องรู้สึกกดดัน ไม่อยากไปโรงเรียน และต้องไปพบจิตแพทย์ ทั้งนี้ ผู้ร้องได้ร้องเรียนพฤติกรรมดังกล่าวของครูประจำชั้นรายนี้ไปยังโรงเรียนที่บุตรผู้ร้องเรียนอยู่แล้วแต่กระบวนการตรวจสอบไม่มีความคืบหน้า จึงขอให้ตรวจสอบ

กสม. ได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 มาตรา 22 บัญญัติว่า ในการปฏิบัติต่อเด็กไม่ว่ากรณีใด ให้คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญและไม่มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม กฎหมายดังกล่าวยังห้ามกระทำหรือละเว้นการกระทำอันเป็นการทารุณกรรมต่อร่างกายหรือจิตใจของเด็ก และบัญญัติว่าการลงโทษนักเรียนหรือนักศึกษาให้กระทำเท่าที่สมควรเพื่อการอบรมสั่งสอนตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนด นอกจากนี้ ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม กำหนดว่าการลงโทษสามารถกระทำได้ 4 สถาน ได้แก่ การว่ากล่าวตักเตือน ทำทัณฑ์บน ตัดคะแนนความประพฤติ หรือทำกิจกรรมเพื่อให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และห้ามลงโทษนักเรียนด้วยวิธีรุนแรงหรือแบบกลั่นแกล้งหรือลงโทษด้วยความโกรธหรือความพยาบาท อีกทั้งจะต้องคุ้มครองดูแลนักเรียนให้ปราศจากความรุนแรงทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ โดยการลงโทษต้องคำนึงถึงอายุของเด็กนักเรียนหรือนักศึกษา และความร้ายแรงของพฤติการณ์ประกอบการลงโทษเป็นสำคัญ

จากการตรวจสอบกรณีนี้ปรากฏข้อเท็จจริงสรุปได้ว่า ครูประจำชั้นใช้วิธีการลงโทษบุตรของผู้ร้องและนักเรียนคนอื่น ๆ โดยใช้ไม้เรียวตีหรือตีด้วยมือ ดุด่าว่ากล่าว รวมทั้งมีการตั้งกฎกติกาในชั้นเรียนเพื่อให้นักเรียนทำงานให้เสร็จก่อนจึงจะสามารถเข้าห้องน้ำเพื่อทำกิจธุระส่วนตัวได้ อีกทั้งครูประจำชั้นยังมีนิสัยพูดจาเสียงดัง มักดุด่าว่ากล่าวหรือข่มขู่ ทำให้บุตรของผู้ร้องซึ่งเป็นเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเกิดความกดดันและความเครียดสะสมจนไม่อยากไปโรงเรียน จนผู้ร้องต้องนำบุตรเข้าพบจิตแพทย์เพื่อรักษาอาการทางจิต ต่อมาครูประจำชั้นที่เป็นผู้ถูกร้องได้ขอเจรจากับผู้ร้อง โดยจ่ายค่าเยียวยาและค่ารักษาบุตรของผู้ร้อง 2 ครั้ง และมีหนังสือขอโทษผู้ร้องอย่างเป็นทางการแล้ว

ในส่วนของโรงเรียนที่บุตรผู้ร้องเรียนอยู่ เมื่อผู้ร้องได้ร้องเรียนพฤติกรรมของครูประจำชั้นไปยังโรงเรียน ทางโรงเรียนได้สอบสวนข้อเท็จจริงโดยมีผลการสอบสวนสรุปว่าการกระทำของครูรายนี้ไม่มีมูลเหตุความผิด จึงยุติเรื่อง ผู้ร้องเห็นว่ารายงานผลการสอบสวนไม่ถูกต้อง บิดเบือนความจริงและไม่เป็นธรรม จึงขอให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 2 (สพป.ชัยภูมิ เขต 2) สอบสวนข้อเท็จจริงใหม่ ซึ่ง สพป.ชัยภูมิ เขต 2 ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงและดำเนินการสอบสวนเมื่อเดือนพฤษภาคม 2568 พบว่ามีมูลความผิด โดยครูประจำชั้นได้ลงโทษบุตรของผู้ร้องด้วยการใช้ไม้เรียวตีหรือตีด้วยมือจริง จึงได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย ปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการสอบสวนทางวินัย

กสม. พิจารณาแล้วเห็นว่า ครูประจำชั้นตามเรื่องร้องเรียนใช้วิธีการลงโทษบุตรของผู้ร้องและนักเรียนคนอื่น ๆ ที่ขัดต่อระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการลงโทษนักเรียนและนักศึกษาฯ อันส่งผลให้บุตรของผู้ร้องได้รับความทุกข์ทรมานทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ ถึงแม้ว่าครูรายนี้ได้จ่ายค่าเยียวยาบุตรของผู้ร้องแล้วก็ตาม แต่ผลกระทบดังกล่าวอาจส่งผลในระยะยาวต่อบุตรของผู้ร้อง ได้แก่ สุขภาพกาย สุขภาพจิต และพัฒนาการเรียนรู้ที่บกพร่อง รวมถึงปัญหาความสัมพันธ์ทางสังคม เป็นต้น ในชั้นนี้จึงรับฟังได้ว่า การกระทำของครูประจำชั้นเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

สำหรับการตรวจสอบข้อเท็จจริงของโรงเรียนในฐานะผู้บังคับบัญชาของครูประจำชั้นรายนี้ที่มีผลการสอบสวนว่าพฤติกรรมของครูไม่มีมูลความผิดและสั่งยุติเรื่องนั้น เห็นว่าเป็นการกระทำที่เข้าข่ายเป็นการช่วยเหลือให้ครูไม่ต้องถูกดำเนินการทางวินัย ซึ่งไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงตามรายงานการสอบสวนข้อเท็จจริงของ สพป.ชัยภูมิ เขต 2 ที่พบว่าการกระทำของครูประจำชั้นมีมูลความผิดจริง ดังนั้น การดำเนินการดังกล่าวของโรงเรียน จึงขัดต่อพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 95 ที่ระบุว่า เมื่อปรากฏกรณีมีมูลที่ควรกล่าวหาว่าข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ใดกระทำผิดวินัย โดยมีพยานหลักฐานในเบื้องต้นอยู่แล้ว ให้ผู้บังคับบัญชาดำเนินการทางวินัยทันที หากผู้บังคับบัญชาผู้ใดละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่หรือมีพฤติกรรมปกป้อง ช่วยเหลือเพื่อมิให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาถูกลงโทษทางวินัย หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวโดยไม่สุจริต ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำผิดวินัย ในชั้นนี้จึงรับฟังได้ว่า โรงเรียนของครูประจำชั้นรายนี้มีการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

ด้วยเหตุผลข้างต้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 จึงมีมติให้มีข้อเสนอแนะไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการ สรุปได้ ดังนี้

(1) ให้ สพป.ชัยภูมิ เขต 2 เร่งดำเนินการสอบสวนทางวินัยต่อครูประจำชั้นและรายงานผลให้ผู้ร้องทราบโดยไม่ชักช้า ทั้งนี้ ต้องดำเนินการด้วยความโปร่งใส ยุติธรรม และปราศจากผู้มีส่วนได้เสียเข้าแทรกแซงในกระบวนการดังกล่าว นอกจากนี้ ให้กำชับสถานศึกษาในสังกัดให้ใช้กลไกของคณะกรรมการสถานศึกษามีส่วนร่วมในการตรวจสอบข้อร้องเรียน และเฝ้าระวังปัญหาความรุนแรงในโรงเรียน ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการสื่อสารทำความเข้าใจในการรายงานปัญหาหรือข้อร้องเรียนเพื่อให้เกิดการแก้ไขเยียวยาได้ทันต่อสถานการณ์

(2) ให้โรงเรียนที่เป็นผู้บังคับบัญชาของครูประจำชั้น พิจารณาการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงในกรณีเกิดเหตุร้องเรียนต่อข้าราชการครูหรือบุคลากรทางการศึกษาในโรงเรียน โดยต้องดำเนินการด้วยความสุจริต และโปร่งใส รวมทั้งให้ผู้นำชุมชนและตัวแทนผู้ปกครอง หรือตัวแทนจากหน่วยงานอื่น มีส่วนร่วมในการพิจารณาดำเนินการด้วย เพื่อให้เกิดความเป็นกลางและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย พร้อมทั้งเน้นย้ำบุคลากรทางการศึกษาให้จัดการเรียนการสอนด้วยวิธีการที่เหมาะสม ไม่ใช้วิธีการลงโทษที่รุนแรง หรือสร้างกฎข้อบังคับในชั้นเรียนอันเป็นเหตุให้นักเรียนเกิดความกดดัน

และ (3) ให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาให้มีการจัดอบรมข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา โดยเน้นการเสริมสร้างทักษะการจัดการปัญหาทางด้านอารมณ์ และจิตใจ และวิธีรับมือในสภาวะที่เด็กนักเรียนมีปัญหาความขัดแย้ง หรือการใช้ความรุนแรงด้วย

About The Author

Related posts