ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พรุ่งนี้วันพฤหัสฯ ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2568 เวลา 10.00 น. ที่ ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ตัวแทนผู้เสียหายและผู้เสียหายรวม 13 ราย จากคดีฉ้อโกงประชาชนมูลค่ากว่า 300 ล้านบาท โดย “แก๊งนุ่นหวยทิพย์” ซึ่งมีการหลอกลวงในหลายรูปแบบ อาทิ โควต้าสลากทิพย์, สินค้าปลอดภาษีอ้างคิงส์พาวเวอร์, การซื้อขายนาฬิกาแบรนด์เนม-รถยนต์-อสังหาริมทรัพย์ และการฝากงาน จะรวมตัวกันเดินทางมาแจ้งความ พงส.บก.ปปป.
การเคลื่อนไหวครั้งนี้มีขึ้นหลังพบความไม่ชอบมาพากลในคดีฉ้อโกง 400 ล้านบาท ที่กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 (บก.สอท. 1) เคยจับกุม น.ส.กัณภาธิฌาณัศฐ์ฯ หรือ “นุ่น” และพวก ตามหมายจับศาลอาญา ในวันที่ 3 ธันวาคม 2567 โดยมี พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รรท. ผบช.สอท. พร้อมด้วย พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท. และ พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท. เป็นผู้แถลงข่าวจับกุม ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และความผิดตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527”
ภายหลังการจับกุมกลับปรากฎว่ามีผู้ต้องหาจำนวน 7 รายถูกปล่อยตัว ออกไปโดยไม่ทราบสาเหตุ และคดีที่ได้แจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจภูธรอื่นๆ ก็ไม่มีความคืบหน้า
เชื่อมโยงผู้มีอิทธิพลและเส้นทางคดีกว่า 10 ปี
น.ส.กัณภาธิฌาณัศฐ์ฯ และพวก ได้ก่อเหตุมานานกว่า 10 ปี สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนจำนวนมาก แม้จะมีการแจ้งความดำเนินคดีมาอย่างต่อเนื่อง แต่ผู้ต้องหาก็ยังคงลอยนวลอยู่ได้ ทำให้ผู้เสียหายเชื่อว่าการกระทำความผิดของผู้ต้องหาน่าจะมี นักการเมืองและผู้มีอิทธิพลหนุนหลัง
จนกระทั่งช่วงต้นปี 2568 ผู้เสียหายได้รวมตัวกันร้องเรียนไปยัง น.ส. นลิน โรจนวัทธิกร ผู้ก่อตั้งเพจ“ห้วยแถลง” เพื่อขอให้ช่วยแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน ซึ่งก่อนหน้านี้ในคดีที่ผู้เสียหายฟ้องเองมูลค่า 173 ล้านบาท หลังจากอัยการไม่สั่งฟ้องในตอนแรก แต่เมื่อผู้เสียหายนำคดีไปฟ้องต่อศาลอาญาจังหวัดมีนบุรีเอง ศาลได้มีคำตัดสินพิพากษาให้จำคุก น.ส. กัณภาธิฌาณัศฐ์ฯ, นางสาวเกศยากรณ์ หมานหมิด, นายวิษณุ ชัยมณี และบริษัทเกษตรไทยฟาร์ม เป็นเวลา 3 ปี และสั่งปรับ
น.ส. นลิน โรจนวัทธิกร จึงนัดหมายผู้เสียหายกว่า 10 ราย มาแจ้งความ บก.ปปป.เอาผิดตำรวจชุดที่ปล่อยผู้ต้องหา ม.157
หลังจากแจ้งความ บก.ปปป. แล้วจะไป ร้อง ปปง. ดำเนินคดีกับ น.ส.กัณภาธิฌาณัศฐ์ฯ และพวก ในความผิดมูลฐานตาม พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 เนื่องจากคดีที่เกี่ยวข้องกับการ “ฉ้อโกง” ถือเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดการฟอกเงิน ซึ่งจะนำไปสู่การยึดและอายัดทรัพย์สินของผู้กระทำความผิดเพื่อนำมาเยียวยาผู้เสียหายต่อไป
About The Author
