“เต้ มงคลกิตติ์“ ร้องผู้การกองปราบตรวจสอบบทสัมภาษณ์ ”ช่อ พรรณิกา“ ในรายการดัง ปมชายแดนไทย–กัมพูชา ชี้อาจเข้าข่ายผิด พ.ร.บ.หน้าที่คนไทยในเวลารบ โทษสูงสุดถึงประหารชีวิต
วันนี้ (22 ธ.ค.68) เวลา 11.00 น. นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ประธานมูลนิธิเครือข่ายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น เดินทางมายื่นหนังสือต่อ พลตำรวจตรี พัฒนศักดิ์ บุบผาสุวรรณ ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปราม (ผบก.ป.) เพื่อให้ตรวจสอบบทสัมภาษณ์ในรายการดัง เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ของนางสาวพรรณิการ์ วาณิช หรือ ช่อ กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า อดีต สส.พรรคอนาคตใหม่ เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 ว่าอาจเข้าข่ายความผิดตาม พรบ.หน้าที่คนไทยในเวลารบ พ.ศ.2484 หรือไม่

นายมงคลกิตติ์ กล่าวว่า การให้สัมภาษณ์ดังกล่าวของนางสาวพรรณิการ์ เป็นช่วงที่อยู่ระหว่างการประกาศกฏอัยการศึก ตาม พรบ.อัยการศึก พ.ศ.2457 ซึ่งฝ่ายทหารได้เริ่มประกาศมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งจนถึงปัจจุบันก็ยังคงมีการเผยแพร่คลิปสัมภาษณ์ดังกล่าวอยู่ในโลกโซเชียล แม้ช่วงท้ายของการให้สัมภาษณ์นางสาวพรรณิกาจะแก้ต่างว่าตนไม่ได้ต้องการล่วงรู้แผนการรบของทหารไทยก็ตาม แต่ตนมองว่าบทสัมภาษณ์ดังกล่าวอาจส่งผลต่อความสามัคคีของคนในชาติ รวมทั้งขวัญและกำลังใจของทหารไทยที่อยู่ระหว่างการสู้รบในแนวหน้า จนอาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดระหว่างการสู้รบถึงขั้นสูญเสียชีวิต

ซึ่งหากกองบังคับการปราบปรามตรวจสอบแล้ว พบว่ามีความผิดก็ต้องลงโทษตามกฏหมาย และผู้เกี่ยวข้องจะต้องเข้ามาให้ปากคำ ทั้งนางสาวพรรณิการ์ พิธีกร และเจ้าของรายการ อย่างไรก็ตาม หากนางสาวพรรณิการ์ จะออกมาขอโทษก็ถือว่าเป็นสิ่งที่สมควรกระทำอยู่แล้ว แต่ในทางกฎหมายต้องให้พนักงานสอบสวนไปตรวจสอบว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ. หน้าที่คนไทยในเวลารบ พ.ศ.2484 หรือไม่อย่างไร ซึ่ง พ.ร.บ. ดังกล่าวมีอัตราโทษสูงถึงประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต

นายมงคลกิตติ์ ยังได้กล่าวถึงการที่ นายอนุทินชาญ ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ให้กำลังใจและตรวจเยี่ยมทหารในพื้นที่ชายแดนด้วยว่า ถือเป็นหน้าที่คนไทยที่ต้องให้กำลังใจและร่วมแรงร่วมใจกัน ไม่ใช่หน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรี เพราะเป้าหมายของเราคือต้องรบให้ชนะกัมพูชา และทำให้สมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา และนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา สิ้นสภาพการเป็นผู้นำประเทศ รวมทั้งกองทัพกัมพูชาต้องสิ้นสภาพเช่นกัน เพื่อเป็นหลักประกันความปลอดภัยของประชาชนชาวไทยในอนาคต

ทั้งนี้ ตนเชื่อว่าหากมีการเจรจาสงบศึก แล้วสมเด็จฮุน เซน และฮุน มาเนต ยังคงบริหารประเทศกัมพูชาต่อไป กัมพูชาจะมีอาวุธสงครามร้ายแรงเพื่อสู้รบกับไทยจนกลายเป็นภัยคุกคามร้ายแรงในอนาคต เพราะในห้วง 5 ปีที่ผ่านมาสแกมเมอร์ในกัมพูชาได้เงินจากการหลอกลวงเหยื่อคนไทยประมาณ 1.2 แสนล้านบาทต่อปี เพื่อสะสมไว้ซื้ออาวุธต่างๆ ทั้ง BM-21 อาวุธต่อต้านอสกาศยาน ยืนยันว่าสิ่งที่นายอนุทิน รัฐบาล และเหล่าทัพดำเนินการอยู่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง

พร้อมกล่าวพาดพิงพรรคประชาชนว่า การที่พรรคประชาชนต้องการให้เจรจาประนีประนอม จะเหมือนเป็นการปล่อยให้กัมพูชาตั้งหลักได้ จนกลายเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อประเทศในอนาคต ซึ่งพรรคดังกล่าวมีทั้งคนที่รักและไม่รักประเทศไทย หากใครไม่รักก็ขอให้อยู่เงียบๆ เมื่อมีภัยสงครามคนในชาติต้องสมัครสมานสามัคคีกัน แต่คนไทยบางกลุ่มไม่รักชาติบ้านเมือง คิดแต่จะเล่นการเมืองและทำให้กองทัพอ่อนแอ ซึ่งตนไม่เห็นด้วย และพรรคการเมืองเหล่านี้ไม่ควรมีอยู่ในประเทศไทย ตนเชื่อว่าช่วงเวลานี้ทหารสำคัญกว่านักการเมือง คนไทยทุกคนหวงแหนแผ่นดินไทยเมื่อถึงคราวรบก็ต้องรบ นอกจากนี้ ยังได้กล่าวพาดพิงนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ว่าการที่ออกมาบอกว่าไทยรุกรานกัมพูชา ไม่สมควรเป็นคนไทยและนักการเมืองด้วย
