เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 ตามที่ได้มีสื่อเสนอข่าวจับกุมหญิงสาวชาวลาวโดยแจ้งข้อหา”ร่วมกันฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระโดยแสดงตนเป็นผู้อื่นร่วมกันโดยทุจริตหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน และข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ

กรณีที่ กองกำกับการ 2 กองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจได้จับกุม นางสาวเน็ก สัญชาติลาวได้ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดหนองคาย โดยแจ้งข้อหาว่า”ร่วมกันฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระโดยแสดงตนเป็นผู้อื่นร่วมกันโดยทุจริตหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน และข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งสมคบกันตกลงตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้ มีการสมคบกันร่วมกันฟอกเงินและร่วมกันเป็นอั่งยี่
โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการควบคุมตัว นางสาวเน็ก มายังกองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งทางสำนักข่าวกล้าลุยได้รับการประสานและติดต่อขอความช่วยเหลือจากบิดาของ นางสาวเน็ก ที่อยู่ประเทศลาว ทางสำนักข่าวกล้าลุยจึงมอบหมายให้ทนายอานันท์ ปิลันธนดิลก ประธานฝ่ายกฎหมายสำนักข่าวกล้าลุย เข้าร่วมฟังการสอบสวนและชี้แจงข้อเท็จจริงเรื่องที่เป็นข่าวดังกล่าว เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา
ปรากฏข้อเท็จจริงว่า นางสาวเน็ก ได้ตกเป็นผู้ต้องหาโดยไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการร่วมกันฉ้อโกงหรือฟอกเงิน แต่อย่างใดว่า นางสาวเน็กซึ่งประกอบธุรกิจร้านกาแฟชื่อดังในกรุงเวียงจันทน์ ประเทศลาว โดย นางสาวเน็กได้เดินทางเข้ามายังประเทศไทยเพื่อมาทำการผ่าตัดคลอดบุตรตามที่หมอนัด
ในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2568 ที่โรงพยาบาลชื่อดังในจังหวัดอุดรธานี ขณะที่กำลังเดินทางกลับประเทศลาวจึงได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองประจำด่าน ต.ม. หนองคาย จับกุมตามหมายจับของศาลอาญา โดยจากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เบื้องต้นพบว่ากรณีที่นางสาวเน็ก ถูกออกหมายจับเนื่องจากมีเส้นเงินจากบัญชีม้าของกลุ่มสแกมเมอร์ที่หลอกลวงเงินจากบัญชีผู้เสียหายในประเทศไทยเข้าบัญชีของตนเองจำนวนเงิน40,000บาท

ซึ่งสาเหตุที่มีจำนวนเงินจำนวนดังกล่าวเข้าบัญชี นางสาวเน็ก นั้น เพราะ นางสาวเน็ก ได้มีการซื้อขาย และสั่งสินค้าเพื่อนำไปใช้ในกิจการของตนเองโดยจำเป็นต้องโอนเงินจากบัญชีธนาคารของในประเทศไทยให้แก่ร้านค้าจึงได้นำเงินสดสกุลกีบของประเทศลาวไปยังร้านรับแลกเป็นเงินที่ตั้งอยู่ในประเทศลาวและทางร้านรับแลกเงินได้โอนจำนวน 40,000 บาท มาเข้าบัญชีของ นางสาวเน็ก โดยไม่ทราบว่าร้านแลกเงินดังกล่าวจะนำเงินจากบัญชีของผู้ใดมาโอนให้แก่ตน
ซึ่งมีรายละเอียดข้อมูลหลักฐานปรากฏอยู่ในโทรศัพท์มือถือของ ของนางสาวเน็ก จริง และทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจดูแล้วพบประวัติข้อมูลการแลกเปลี่ยนเงินและโอนเงินเพื่อสั่งซื้อสินค้าต่างๆของ นางสาวเน็ก ถูกต้องเป็นไปตามที่ นางสาวเน็กให้การต่อพนักงานสอบสวน ทางพนักงานสอบสวนจึงมีความเห็นว่า นางสาว เน็ก ไม่น่าจะมีส่วนร่วมหรือรู้เห็นในการกระทำความผิดจริง จึงได้อนุญาตให้ปล่อยตัวนางสาวเน็กชั่วคราวและมีการนัดหมายให้นางสาวเน็ก นำหลักฐานประวัติการเดินบัญชีการเงินของกิจการร้านกาแฟของ นางสาวเน็กพร้อมหลักฐานอื่นๆมามอบให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนเพื่อนำไปประกอบสำนวนคดีต่อไป

สำนักข่าวกล้าลุยจึงขอแนะนำว่าบุคคลใดที่ไมมีส่วนร่วมที่เกี่ยวข้องกับกระทำความผิดลักษณะดังกล่าว เมื่อถูกเจ้าพนักงานจับกุมควรให้ข้อมูลรายละเอียดด้วยสาเหตุในการรับโอนเงินเข้า-ออกบัญชี ของตนพร้อมหลักฐาน เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจในตรวจสอบและเพื่อได้รับความเป็นธรรมอันเป็นเพื่อจะไม่ต้องตกเป็นหยื่อของกลุ่มมิจฉาชีพ
