อส.ตำบลกะลุวอ จ.นราธิวาส ถูกยิงท้ายกะโหลกด้านหลังด้านซ้ายขณะปฏิบัติหน้าที่ อย่างมีเงื่อนงำ

จ.นราธิวาส อส.ตำบลกะลุวอ จ.นราธิวาส ถูกยิงท้ายกะโหลกด้านหลังด้านซ้ายขณะปฏิบัติหน้าที่ อย่างมีเงื่อนงำ ภรรยา นั่งรถไฟจาก จ.นราธิวาส เข้าพบ “ ปวีณา ” ขอความเป็นธรรม

ภรรยานั่งรถไฟเดินทางมาจากจ.นราธิวาส ร้อง “ปวีณา” ช่วยให้ความเป็นธรรม สามี อาสาสมัครชุดคุ้มครองตำบล ถูกยิงศีรษะด้านหลังในระยะประชั้นชิด บาดเจ็บสาหัส เหตุเกิดภายในป้อมยามฐานชุดคุ้มครองตำบลกะลุวอ อ.เมือง จ.นราธิวาส อาการยังโคม่า ผ่านมา 24 วันยังนอนรักษาตัวอยู่รพ.ห้อง ICU หัวหน้ารายงานเหตุเป็น “ปืนลั่น” แต่ครอบครัวติดใจสาเหตุสงสัยมีเงื่อนงำ ทั้งที่สามีใช้ปืนอาก้าประจำกายกระบอกเดียว แต่ในที่เกิดเหตุกลับพบปลอกกระสุนปืน 2 ชนิดตกอยู่ในที่เกิดเหตุ “ปวีณา” ประสาน พล.ต.ต.ประยงค์ โคตรสาขา ผบก.ภ.จว.นราธิวาส และ พ.ต.อ.ภัควัฒน์ วันสนุก ผกก.สภ.ตันหยง จ.นราธิวาส ขอให้ช่วยติดตามเรื่องนี้เพื่อให้ความเป็นธรรมและให้ความกระจ่างกับภรรยาและครอบครัวของอาสาที่บาดเจ็บรายนี้

ที่มูลนิธิปวีณาฯ : วันที่ 11 ต.ค.68 เวลา 13.00 น. นางสาว เจ๊ะปารีดะ บือราเฮง อายุ 36 ปี นั่งรถไฟเดินทางมาจากจ.นราธิวาส เข้าร้องทุกข์ต่อ นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี แจ้งว่า สามีคือ อส.อ.ฮามี บือราเฮง อายุ 37 ปี เป็นเจ้าหน้าที่ชุดคุ้มครองตำบลกะลุวอ (ชคต.กะลุวอ) ม.4 (บ้านกลูเเบสาลอ) ต.กะลุวอ อ.เมือง จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 17 ก.ย.68 เวลา 04.30 น. ขณะที่สามีปฎิบัติหน้าที่เข้าเวรอยู่ที่ป้อมยาม ฐานชุดคุ้มครองตำบลกะลุวอ จ.นราธิวาส นางสาว เจ๊ะปารีดะ ได้ให้ข้อมูลดังนี้

(1.) ก่อนเกิดเหตุเวลา 03.59 น. อส. ที่ปฎิบัติหน้าที่อยู่ในฐานเดียวกัน ซึ่งอยู่ประจำจุดบนหอสูงใกล้กัน ไลน์มาบอกกับสามีว่า “ มึงอย่าลืมส่ง ” หมายถึงการส่งรายงานปฎิบัติหน้าที่เข้าเวรอยู่ในฐานต่างๆในกลุ่มไลน์ อส.

(2.) เวลา 04.14 น. อส. คนเดิม ได้โทรไลน์มาหาสามีแต่สามีไม่ได้รับสาย

(3.) เวลา 04.15 น. อส. จึงได้พิมพ์ไลน์มาอีกว่า “ มึงไม่ตั้งนาฬิกาวะ ”

(4.) เวลา 04.16 น. อส. จึงได้ตอบไลน์เพื่อนกลับไปว่า “ มึงมีอะไรกับกู ”

(5.) เวลา 04.18 น. สามีได้ส่งรายงาน ส่งรายงานปฎิบัติหน้าที่เข้าเวรอยู่ในฐานต่างๆไปในกลุ่มไลน์ อส.

(6.) เวลา 04.30 น. สามีถูกยิงเข้าที่ท้ายกะโหลกหลังด้านซ้ายได้รับบาดเจ็บสาหัส บริเวณฐานปฎิบัติหน้าที่

(7.) เวลา 06.31 น. มีการแจ้งรายงานในกลุ่ม อส. ว่าสามีได้ถูกอาวุธปืนยิง ซึ่งใช้เวลาถึง 2 ชม. ในการรายงานเหตุ

(8.) ตนได้ทราบข่าวมาว่า บริเวณจุดเกิดเหตุ พบมีปลอกกระสุนปืนถึง 2 ชนิด ตกอยู่ด้วย

สามีถูกยิงเข้าบริเวณด้านหลังศีรษะฝั่งซ้ายในระยะประชิด กระสุนฝังใน ได้รับบาดเจ็บสาหัส หัวหน้าชุดโทรฯ มาบอกตนให้รีบไปที่โรงพยาบาลและบอกว่า “ปืนลั่น” แพทย์ผ่าตัดเอากระสุนออก แต่ยังมีเศษกระสุนอยู่จุดสำคัญในศีรษะที่เอาออกไม่ได้ ตอนนี้ยังนอนรักษาตัวอยู่ที่ห้อง ICU ผ่านมา 24 วันแล้ว สามีได้แต่นอนลืมตาไม่รับรู้หรือตอบสนอง หายใจเองไม่ได้ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ ร่างกายซีกขวาเคลื่อนไหวไม่ได้ แพทย์ให้ทำใจหากอาการดีขึ้นแต่ก็จะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ตนและครอบครัวติดใจสงสัยสาเหตุว่าจะเกิดจากปืนลั่นจริงหรือไม่ เพราะในวันเกิดเหตุจะมี อส. เพียง 2 คน คือ อส. ที่เป็นคู่เวรอยู่บนหอสูงใกล้กัน บอกว่าสามีอยู่ในป้อมยามด้านหน้าคนเดียวพร้อมอาวุธปืนอาก้า (AK) ประจำกายกระบอกเดียว ก่อนจะได้ยินเสียงปืนดังขึ้นจึงรีบมาดูพบว่าสามีถูกยิงนอนจมกองเลือดอยู่ แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าทำไมถึงถูกยิงจากด้านหลัง และภรรยาเล่าอีกว่า ตนทราบข่าวมาว่าในที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนปืนถึง 2 ชนิด ซึ่งหากเป็นปืนลั่น แต่สามีตนอยู่ตรงนั้นเพียงคนเดียวและมีเพียงปืนอาก้ากระบอกเดียว กระสุนอีกชนิดไม่ทราบว่าเป็นของใครและมาจากไหน และยังไม่ทราบว่ากระสุนปืนที่แพทย์ผ่าตัดออกจากศีรษะของสามีเป็นกระสุนปืนชนิดใด ตนสงสัยว่าเรื่องนี้จะมีเงื่อนงำหรือไม่ เพราะถึงตอนนี้ตำรวจและฝ่ายปกครองยังไม่มีใครให้ข้อมูลอะไรกับตนได้เลย จึงมาขอให้มูลนิธิปวีณาฯ ช่วยให้ความเป็นธรรม ตรวจสอบหาสาเหตุที่แท้จริงที่สามีถูกกระสุนปืนยิงจากด้านหลังศีรษะนี้ด้วย หลังรับเรื่อง “ปวีณา” ได้ประสาน ประสาน พล.ต.ต.ประยงค์ โคตรสาขา ผบก.ภ.จว.นราธิวาส และพ.ต.อ.ภัควัฒน์ วันสนุก ผกก.สภ.ตันหยง จว.นราธิวาส นัดให้ นางสาว เจ๊ะปารีดะ บือราเฮง ภรรยาเข้าพบเพื่อให้ปากคำ ขอให้ช่วยติดตามเรื่องนี้เพื่อให้ความเป็นธรรมและให้ความกระจ่างกับภรรยาและครอบครัวของอาสาที่บาดเจ็บรายนี้ต่อไป

นางสาว เจ๊ะปารีดะ บือราเฮง อายุ 36 ปี ภรรยา กล่าวว่า วันที่ 17 ก.ย.68 เวลา 04.45 น. ตนได้รับรับโทรศัพท์จากหัวหน้าชุด ชคต. โทรมาบอกว่าให้รีบไปที่โรงพยาบาลเพราะสามีถูกยิง และยังบอกอีกว่า “ปืนลั่น” หลังจากนั้นตนก็ไม่ได้ทราบข้อมูลจากหัวหน้า ตำรวจ หรือฝ่ายปกครองอีกเลย ทั้งนี้จากการที่ตนพยายามหาข้อมูลหลายๆ ทาง พอทราบมาว่า อส.ที่เข้าเวรคู่กับสามีคืนนั้นบอกว่า สามีอยู่คนเดียวในป้อมยาม ส่วนเพื่อนจะอยู่ที่หอสูงใกล้กัน เวลาประมาณ 04.30 น. ได้ยิงเสียงปืนดังขึ้นที่ป้อมยามจึงรีบไปดูพบว่าสามีนอนจมกองเลือดอยู่กับพื้น ซึ่งคาดว่าจะเป็นเหตุปืนลั่น จึงรีบรายงานผู้บังคับบัญชา และนำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล

นอกจากนี้เพจ Beritaselatan ทูเดย์ ได้โพสต์วันที่ 17 ก.ย.68 เวลา 12.17 น. เป็นภาพที่เกิดเหตุ พร้อมระบุข้อความว่า เรียน ผู้บังคับบัญชาเพื่อโปรดทราบ อ.เมืองนราธิวาส ขอรายงานเหตุสมาชิก อส.ได้รับบาดเจ็บขณะปฏิบัติหน้าที่ วันที่ 17 ก.ย.68 เวลา ประมาณ 04.30 น. สถานที่เกิดเหตุ ชุดคุ้มครองตำบลกะลุวอ ม.4 (บ้านกลูเเบสาลอ)ต.กะลุวอ อ.เมือง จ.นราธิวาส ได้รับแจ้งจาก ชคต.กะลุวอ ว่า อส.อ.ฮามี บือราเฮง ตำแหน่ง ลูกเเถว ชป.3 ชคต.กะลุวอ ได้รับมอบหมายให้ปฎิบัติหน้าที่เวรยามห้วง เวลาเเต่เวลา 00.00-06.00 น. ประจำป้อมหน้า ขณะปฏิบัติหน้าที่ได้ใช้ปืนยาว AK 102 เป็นปืนประจำกาย ขณะปฏิบัติหน้าที่ ปืนยาวประจำกายได้ลั่นใส่บริเวณศรีษะได้รับบาดเจ็บสาหัส โดยได้ประสานรถฉุกเฉิน อบต.กะลุวอ นำส่งโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ รายละเอียดเพิ่มเติมจะนำเรียนให้ทราบต่อไป ทั้งนี้หลังมีการโพสต์ข้อความดังกล่าวออกไป มีหลายคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นสงสัยสาเหตุการเสียชีวิตและสภาพที่เกิดเหตุหลายคน

หลังเกิดเหตุแพทย์ตรวจสามีพบว่า กะโหลกแตก กระสุนฝังใน แพทย์ได้สอบถามภรรยาว่าจะให้ผ่าตัดเอากระสุนออกหรือไม่ พร้อมกับบอกว่าหากอาการดีขึ้นแต่ก็จะไม่เหมือนเดิม จะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ซึ่งตนก็ทำใจขอให้แพทย์ผ่าเอากระสุนออก หลังจากนำกระสุนออกมาได้แล้ว แต่ก็ยังพบว่ามีเศษกระสุนอยู่ตรงจุดสำคัญอีก ซึ่งแพทย์ไม่สามารถนำออกมาได้เพราะเสี่ยงมาก ตอนนี้สามียังนอนรักษาตัวอยู่ที่ห้อง ICU ได้แต่นอนลืมตาไม่รับรู้หรือตอบสนอง หายใจเองไม่ได้ ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ ร่างกายซีกขวาเคลื่อนไหวไม่ได้

ตนกับลูกทั้งสองคนและครอบครัวติดใจสงสัยสาเหตุที่สามีถูกยิงที่ศีรษะจากด้านหลัง ซึ่งตำรวจบอกว่าเป็นการยิงในระยะประชิด และทราบว่าในที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนปืนอาก้า (AK) ตกอยู่ และมาจากไหน เพราะอาวุธปืนประจำกายของสามีขณะเข้าเวรคือ ปืนอาก้า (AK) กระบอกเดียวเท่านั้น โดยคนนอกไม่สามารถเข้าออกภายในที่ทำงานได้ หลังเกิดเหตุตนได้พยายามสอบถามข้อมูลในเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่มีใครให้บอกอะไร พูดแต่ว่าปืนลั่น ซึ่งเรื่องก็ผ่านมา 24 วันแล้ว แต่ยังไม่มีความคืบหน้า

ตนยังทำใจไม่ได้กับเรื่องที่เกิดขึ้น วันที่ 16 ก.ย.68 ก่อนที่สามีจะไปเข้าเวรเที่ยงคืน ช่วงเย็นยังนั่งกินข้าวกับลูกเมียคุยกันปกติ แต่ก็มาเกิดเรื่องนี้ขึ้น ตนและลูกอีก 2 คน ยังไม่รู้ว่าจะอยู่ต่อไปอย่างไร จึงมาขอความเป็นธรรมต่อมูลนิธิปวีณาฯ ช่วยหาสาเหตุที่แท้จริงที่สามีถูกยิงจากด้านหลังศีรษะในครั้งนี้ และปลอกกระสุนปืนอีกชนิดหนึ่ง ที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุ เป็นของใคร และมาได้อย่างไร หากมีผู้กระทำกับสามีตนก็ขอให้ดำเนินคดีจนถึงที่สุด

 

About The Author

Related posts