ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม พร้อมคณะ เดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อ พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ที่กองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) วันนี้ (7 ตุลาคม 2568) เวลา 10.00 น. เพื่อขอให้ตรวจสอบ พระคึกฤทธิ์ สวัสดิผล (โสตฺถิผโล) เจ้าอาวาสวัดนาป่าพง และพวกรวม 13 คน ในประเด็นเกี่ยวกับการบริหารจัดการเงินของวัด
ประเด็นการตรวจสอบหลัก
ทนายอนันต์ชัยได้ร้องขอให้ตรวจสอบ 3 ประเด็นหลัก ประกอบด้วย คือ
1.การนำเงินกฐินมาจ่ายโบนัส ตรวจสอบกรณีที่มีการกล่าวอ้างว่าวัดนาป่าพงได้นำเงินที่ได้จากการทอดกฐินในช่วงปี 2556 ถึงปี 2559 มาจ่ายเป็นเงินโบนัสให้กับเจ้าหน้าที่วัด 4 คน คือ นายนิพนธ์ (ลุงต้อ), นายศรชา, นายประเสริฐ, นายนิพนธ์ และนายชัยยุทธ์
โดยมีการระบุยอดเงินรวมที่กล่าวอ้างว่ามีการจ่ายเป็นโบนัสในช่วง 4 ปีนี้รวมกว่า 6,704,000 บาท (ปี 2556 คนละ 336,000 บาท, ปี 2557 คนละ 360,000 บาท, ปี 2558 คนละ 480,000 บาท, และปี 2559 คนละ 500,000 บาท)
2.การนำเงินวัดซื้อรถยนต์ให้บุคคลอื่น ตรวจสอบกรณีที่มีข่าวทางสื่อมวลชนว่าระหว่างปี 2557 ถึงปี 2561 มีการนำเงินของวัดนาป่าพงไปซื้อรถยนต์ให้กับอุบาสิกา 3 คน และอุบาสก 3 คน รวมมูลค่าประมาณ 50 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยรถเบนซ์ 6 คัน, รถฟอร์ด 1 คัน และรถมาสด้า 1 คัน
3.การโอนเงินเข้าบัญชีบุคคลภายนอก ขอให้ตรวจสอบเส้นทางการเงินของ นายทวีศักดิ์ ว่ามีการรับโอนเงินจากบัญชีธนาคารวัดนาป่าพงในช่วงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2557 ถึง 12 กุมภาพันธ์ 2558 เป็นเงินประมาณ 10 ล้านบาท จริงหรือไม่
ทนายอนันต์ชัยระบุว่า ที่มาของข้อมูลส่วนหนึ่งมาจากการออกอากาศรายการ PHUTTA TALK ทางช่องยูทูป เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2568 ซึ่งได้สัมภาษณ์ “ลุงต้อ” เจ้าหน้าที่วัดนาป่าพง ที่ให้ข้อมูลบางช่วงบางตอนเกี่ยวกับการแจกโบนัสจากเงินกฐิน นอกจากนี้ยังมีบทความจากเพจ พะยูน นิว์ วี 2 และหลักฐานรายการเดินบัญชีธนาคารของบุคคลที่เกี่ยวข้องที่ผู้หวังดีส่งมาให้ประเด็นการใช้บัญชี ‘มูลนิธิพุทธโฆษณ์’
นอกจากนี้ ทนายอนันต์ชัยยังขอให้ตรวจสอบการรับเงินทอดกฐินของวัดนาป่าพงในแต่ละปี ว่ามีการขอรับบริจาคโดยใช้ชื่อบัญชี “มูลนิธิพุทธโฆษณ์” ซึ่งขัดต่อหลักการตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 และกฎกระทรวงฉบับที่ 2 (พ.ศ.2511) ที่ระบุว่าเงินดังกล่าวจะต้องนำเข้าบัญชีของวัดเท่านั้น การเบิกถอนเงินจากบัญชีของวัดต้องมีเจ้าอาวาสและไวยาวัจกรณ์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมกันเบิกถอน หากพบว่าไม่เป็นไปตามกฎหมายก็ขอให้ดำเนินการตามขั้นตอนข้อกล่าวหาที่ต้องการให้ดำเนินคดี
ทนายอนันต์ชัยระบุว่า หากการตรวจสอบพบว่าข้อร้องเรียนเป็นความจริง ขอให้พนักงานสอบสวน บก.ปปป. ดำเนินคดีกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยหากเป็นพระภิกษุ (เจ้าพนักงาน) ให้ดำเนินคดีในข้อหา เป็นเจ้าพนักงานเบียดบังยักยอกทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 และ 157 ส่วนฆราวาสหรือเจ้าหน้าที่วัด ให้ดำเนินคดีในข้อหา เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานเบียดบังยักยอกทรัพย์ ตามมาตรา 147, 157 ประกอบมาตรา 86 และข้อหา รับของโจร ตามมาตรา 357
การยื่นหนังสือในครั้งนี้ถือเป็นการร้องเรียนเพื่อให้หน่วยงานของรัฐเข้าตรวจสอบความโปร่งใสในการบริหารจัดการทรัพย์สินของวัด ซึ่งเป็นเงินบริจาคจากประชาชน โดยคาดว่า บก.ปปป. จะดำเนินการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงต่อไป