ร้อง “ปปป.” ตรวจสอบนักการเมือง-ข้าราชการ ชลบุรี รุกคลองสาธารณะ 4 ไร่ ออกโฉนดเนื้อที่ “งอกเพิ่ม” กว่าครึ่ง

ร้อง “ปปป.” ตรวจสอบนักการเมือง-ข้าราชการ ชลบุรี รุกคลองสาธารณะ 4 ไร่ ออกโฉนดเนื้อที่ “งอกเพิ่ม” กว่าครึ่ง

ประธานชมรมคุ้มครองผู้เสียหายจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ นำกลุ่มชาวบ้าน อ.หนองใหญ่ จ.ชลบุรี กว่า 10 ราย เข้าร้องเรียนต่อ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) และ บก.ปปป. ให้ตรวจสอบนักการเมืองท้องถิ่นและข้าราชการประจำ หลังพบการรังวัดออกโฉนดที่ดินในปี 2552 รุกล้ำคลองสาธารณะที่ประชาชนใช้ร่วมกันกว่า 4 ไร่ พร้อมชี้ข้อพิรุธสำคัญ โฉนดรวม 39 แปลง พื้นที่ 150 ไร่ มีเนื้อที่ “งอกเพิ่ม” ขึ้นกว่าร้อยละ 50 ของเนื้อที่เดิม โดยมีนักการเมืองท้องถิ่นเป็นทั้ง “ผู้ขอรังวัด” และ “เจ้าของที่ดิน” ด้านชมรมเตรียมยื่นหลักฐานให้ บช.ก. ตรวจสอบ หากพบผิดจริง เตรียมเสนอเพิกถอนเอกสารสิทธิ์และคืนพื้นที่ให้เป็นสมบัติของแผ่นดิน

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 6 ต.ค.68 ที่ศูนย์รับแจ้งความ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ดร.เพ็ชรฉัฏรชนก จันทร์เพ็ญ ประธานชมรมคุ้มครองผู้เสียหายจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ พร้อมด้วย พล.ต.ดนัย ดิษาภิรมย์ รองประธานที่ปรึกษาชมรมฯ ได้นำกลุ่มประชาชนจาก อ.หนองใหญ่ จ.ชลบุรี ประมาณ 10 ราย เข้ายื่นเรื่องร้องทุกข์ต่อ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. และพนักงานสอบสวนกองบังคับการป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) เพื่อขอให้ตรวจสอบการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบของนักการเมืองท้องถิ่นและข้าราชการประจำ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการรังวัดออกโฉนดที่ดินรุกล้ำคลองสาธารณะประโยชน์ในพื้นที่ อ.หนองใหญ่ จ. ชลบุรี

น.ส.ขวัญชนก (สงวนนามสกุล) ตัวแทนกลุ่มประชาชน อ.หนองใหญ่ เปิดเผยว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ชาวบ้านใช้ร่วมกันมานาน แต่กลับพบว่ามีการรังวัดและออกโฉนดครอบคลุมเข้าไปในแนวคลองเมื่อปี 2552 โดยมีนักการเมืองท้องถิ่นรายหนึ่งเป็นผู้ถือครอง ซึ่งตนในฐานะทายาทของเจ้าของที่ดินเดิมยืนยันว่าไม่ถูกต้อง เนื่องจากในการรังวัดก่อนหน้านี้กว่า 30 ครั้ง ตลอดหลายสิบปี แนวเขตที่ดินยังคงเดิม ไม่เคยล้ำคลองมาก่อน

น.ส.ขวัญชนก ระบุว่า เดิมที่ดินของครอบครัวมีอยู่ประมาณ 150 ไร่ และได้ขายให้เจ้าของรายใหม่เพียงบางส่วนประมาณ 17 ไร่ ซึ่งติดกับแนวคลอง แต่ในปี 2552 มีการรังวัดใหม่จนพื้นที่ “งอกเพิ่ม” จากเดิมประมาณ 7 ไร่เศษ กลายเป็นกว่า 12 ไร่ โดยส่วนที่เพิ่มขึ้นนี้รุกเข้าไปในแนวคลองราว 4 ไร่เศษ ทำให้พื้นที่รับน้ำแคบลงและเสี่ยงเกิดน้ำท่วม โดยทางหน่วยงานรัฐเคยชี้แจงว่าเกิดจากการรังวัดในปี 2509 ที่วัดไม่ถึงแนวคลอง ซึ่งชาวบ้านเห็นว่าเป็นคำอธิบายที่ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง เพราะการเปลี่ยนแปลงเพิ่งเกิดขึ้นเฉพาะในการรังวัดปี 2552 เท่านั้น

ด้าน ดร.เพ็ชรฉัฏรชนก จันทร์เพ็ญ ประธานชมรมฯ กล่าวว่า จากการตรวจสอบเอกสารและหลักฐานที่ประชาชนนำมา พบข้อพิรุธหลายประการ โดยเฉพาะกรณีที่ดินแปลงใหญ่ 150 ไร่ ถูกแบ่งออกเป็น 39 โฉนดในช่วงเวลา 27 ปี และมีเนื้อที่เท่าเดิมมาตลอด แต่เมื่อปี 2552 มีการรวมโฉนด 4 แปลงเข้าด้วยกัน กลับปรากฏว่าพื้นที่ “งอกเพิ่มขึ้น” ถึงร้อยละ 50 ของเนื้อที่เดิม นอกจากนี้ ยังพบว่าหลักเขตจำนวนมากสูญหายจากสารบบที่ดิน ซึ่งถือเป็นข้อพิรุธสำคัญ และผู้ยื่นขอรังวัดรายใหม่ก็เป็นนักการเมืองท้องถิ่นเอง

“เป็นกรณีที่ผู้มีอำนาจในพื้นที่อาจใช้อำนาจแสวงหาประโยชน์ทับซ้อน ทั้งในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐและผู้ถือสิทธิ์ในที่ดิน”

ดร.เพ็ชรฉัฏรชนก ระบุว่า เนื่องจากกรณีนี้มีความเชื่อมโยงกับเจ้าหน้าที่รัฐและนักการเมือง จึงจำเป็นต้องให้ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เข้ามาดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน หากผลสอบยืนยันว่ามีการกระทำผิดจริง ที่ดินส่วนนี้ต้องถูกเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ และนำกลับคืนเป็นสมบัติของแผ่นดิน เพื่อให้ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันตามวัตถุประสงค์ของที่สาธารณะ

ขณะที่ น.ส.ขวัญชนก กล่าวทิ้งท้ายว่า ตนและชาวบ้านจะเดินหน้าต่อสู้เพื่อทวงคืนพื้นที่สาธารณะให้กลับมาเป็นสมบัติส่วนรวมของชุมชนต่อไป

About The Author

Related posts